1. การใช้ PE ratio เพื่อประเมิน fair value ของกิจการที่เราลงทุน จัดได้ว่าเป็นวิธีการที่ง่าย และให้ sense ถึงความถูกแพงของหุ้นได้เป็นอย่างดี
2. อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ การใช้ PE ratio อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ยาก เพราะการใช้ PE ratio นั้นต้องอาศัยทั้ง ”ศิลปะ” และ “ประสบการณ์” พอสมควร
3. สิ่งแรกที่ผมอยากจะแนะนำก็คือ PE ratio ที่เราใช้นั้นควรจะเป็น PE ratio ของ ”อนาคต” นั่นหมายความว่าเราต้องสามารถใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพมาประเมินผลกำไรในอนาคตให้ ได้เสียก่อน ( ผมมองว่าอย่างน้อยเราควรจะต้องประเมินผลกำไรอีก 2 ปี ข้างหน้าให้ได้ ) ก่อนที่จะให้อัตราส่วนทางการเงินตัวนี้
4. ไกด์ไลน์คร่าวๆ สำหรับการใช้ PE ratio… สิ่งแรกที่ผมจะพิจารณาก็คือคุณภาพของ E ( ซึ่งก็คือคุณภาพของกิจการ ) ถ้ากิจการเป็นกิจการที่ดีมากๆ มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูง ( super stock ) มีรายได้ที่สม่ำเสมอ และมีกำไรที่มีสเถียรถาพซึ่งสามารถเติบโตได้ทุกปี ผมมักจะให้ pe 12 -15 สำหรับกิจการที่ดีพอสมควร มีการเติบโตติดกันหลายๆปี แต่อาจจะไม่ได้มีความได้เปรียบทางการแข่งขันมากนัก รายได้อาจจะผันผวนในบางไตรมาส ผมก็มักจะลด pe ลงมาเหลือ 8 -12 ส่วนกิจการ”งั้นๆ” กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง ผมก็มักจะให้ที่น้อยกว่า 8
5. สิ่งที่ผมจะใช้ต่อไป ก็คือ PE ratio เฉลี่ยของอุตสาหกรรม อย่าลืมว่า E เกิดจากคุณภาพของกิจการ แต่ PE ratio เกิดจากความคาดหวังของนักลงทุน ดังนั้น PE ratio ของอุตสาหกรรมนั้นจะเป็น reference คร่าวๆ ให้กับเราได้เป็นอย่างดีว่านักลงทุนส่วนใหญ่มองอุตสาหกรรมนั้นๆอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เราไปพบหุ้นอสังหาริมทรัพย์ตัวหนึ่งถูกเทรดที่ PE แค่ 5 แล้วเราดูงบการเงินย้อนหลังไป เราก็พบว่าบริษัทก็มีผลกำไรสม่ำเสมอ พอสมควร แบรนด์ของบริษัท ก็เป็นที่รู้จักในตลาด เราอาจจะคิดว่านี่คือหุ้นที่”ดี” และน่าจะเทรดที่ PE 7-8 แต่ถ้าเราไปดูข้อมูลของอุตสาหกรรม เราจะพบว่า มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กมากมายที่เทรดกันแค่ PE 4-5 ( หลายตัวอาจมีงบการเงินที่”แข็งแรง”กว่าบริษัทที่เราสนใจด้วยซ้ำ ) นั่นเป็นเพราะมุมมองของตลาดเราต่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ไม่เคยดีอีกเลย นับตั้งแต่วิกฤติ 40 เป็นต้นมา
6. PE / % Growth ( PEG ) เป็นอีกวิธีที่อาจจะใช้หา PE ratio ที่เหมาะสม โดยเฉพาะกับหุ้นโตเร็ว ที่บางครั้งการใช้ Forward PE ratio ไปแค่ 1-2 ปี อาจจะ”หลอกตา” ทำให้หุ้นดูแพงเกินจริง ปีเตอร ลินช์ ให้หลักการคร่าวๆว่า PEG ที่เหมาะสมของหุ้นโตเร็วคือ 1 ซึ่งก็แปลว่า PE ratio ที่เหมาะสมของหุ้นโตเร็วนั้นเท่ากับอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยนั่นเอง
7. หุ้นอีกประเภทที่การใช้ PE อย่างเดียวอาจจะหลอกตา นั่นก็คือหุ้นที่ต้องลงทุนกับ asset ขนาดใหญ่ และมีภาระค่าเสื่อมในแต่ละปีมากๆ เพราะบริษัทประเภทนี้ผลกำไร ( E ) จะดูน้อย เพราะผลจากค่าเสื่อม ทั้งที่จริงๆแล้ว กระแสเงินสดอิสระที่ไหลเข้าบริษัทนั้นมาก ( จนบางครั้งบริษัทแทบจะปันผลออกมาได้หมดทั้ง 100% ของ EPS ) การประเมิน FV ของหุ้นประเภทนี้ ดีที่สุดคือการใช้ DCF หรือถ้าจะทำให้ง่าย ก็อาจจะประเมินด้วย P / Cash flow or P / EBITDA แทน
8. แล้วถามว่า PE เท่าไรถึงจะเรียกว่า Undervalue? คำตอบของคำถามนี้ก็ง่ายๆ นั่นคือเมื่อเราเห็นว่าบริษัทนั้นๆ กำลังถูกเทรดกันที่ PE ratio ที่น้อยกว่า PE ratio ที่เหมาะสมที่เราประเมินไว้ ( ลำพังโดยตัวที่ PE เองนั้นไม่อาจบอกได้ว่าหุ้นถูกหรือแพง เช่น PE 8 สำหรับอุตสาหกรรมตะวันตกดิน อาจจะเรียกได้ว่าแพง แต่ PE 8 สำหรับหุ้น modern trade อาจจะเรียกได้ว่าถูก )
9. อย่างไรก็ดี PE ที่น้อยมากๆ เช่นต่ำกว่า 3 -4 ก็อาจจะจัดได้ว่า undervalue โดยไม่ต้องสนกับคุณภาพของกิจการมากนัก เพราะที่ PE ระดับนี้ ปันผลมักจะเกิน 10% ( ถ้า payout ไม่ต่ำกว่า 50% ของ EPS ) ซึ่งปันผลที่ขึ้นถึงสองหลักถือว่า undervalue มาก หากมองด้วย dividend approach ( หากมีโอกาสผมจะเขียนบทความเรื่อง dividend approach ให้เพื่อนนลท.ได้อ่านกัน )
10. สำหรับหุ้นวัฎจักร โดยเฉพาะในกลุ่ม commodity ส่วนตัวผมไม่ค่อยนิยมใช้ PE ratio ในการประเมิน FV เท่าไรนัก เพราะ E ของบริษัทเหล่านี้มักจะผันผวนได้มากๆ ผมมักจะใช้ PB ในการประเมินมูลค่ามากกว่า ( อาศัยหลักการที่ว่า นักลงทุนจะยินดีซื้อกิจการต่อจากเจ้าของในราคากี่เท่าของเงินลงทุนเริ่มแรก ในขณะที่ธุรกิจกำลังอยู่ใน up-cycle ) โดยอาศัยข้อมูลย้อนหลังว่า ตลาดมักจะให้ PB เท่าไรใน”ขาขึ้น” รอบก่อนๆ
อย่างไรก็ดีหลักการในข้อ 9 เรื่อง PE ratio ที่ต่ำมากๆ ก็อาจนำมาประยุกต์ใช้กับหุ้นวัฎจักรได้ นั่นคือ ถ้าเราเห็นแล้วว่า E ของขาขึ่นรอบนี้ จะทำให้ Forward PE ratio ต่ำกว่า 3 -4 ก็เป็นจุดที่เรามั่นใจได้พอสมควรว่าหุ้นยัง undervalue อยู่มาก
ขอบคุณ reiter จากเว็บ TVI