วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อัตราส่วนทางการเงินสำหรับการวิเคราะห์งบกระแสเงินสด


อัตราส่วนทางการเงินสำหรับการวิเคราะห์งบกระแสเงินสด (ร่วมกับงบอื่นด้วย)
สรุปบางอัตราส่วนที่น่าสนใจที่ใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อัตรส่วนการเงินอื่น ทำให้เห็นภาพกิจการได้ชัดเจนขึ้น ในที่นี้จะขอเสนอ 3 อัตราส่วนที่สำคัญคือ
1. อัตราส่วนคุณภาพกำไร Quality of Earning   
2. อัตราส่วนModified Interest Coverage Ratio
3. อัตราส่วน Modified Debt Principal Payback Period (Debt Coverage Ratio)

คุณภาพกำไร Quality of Earning   

                     Quality of Earning            =                    CFO    /   Net Income
                บางทีเรียกย่อๆ ว่า  QE เป็นคนละ QE กับที่รัฐบาลธนาคารกลางอเมริกาออกนะครับ อัตราส่วนนี้นำกำไรสุทธิมาหารด้วยเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานสุทธิ และต้องเป็นเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานที่หักการจ่ายดอกเบี้ยเงินสดแล้ว ดังนั้นเวลาดึงข้อมูลกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานสุทธิมาใช้ต้องตรวจสอบดูสักนิดว่าหักดอกเบี้ยจ่ายเงินสดหรือยัง ง่ายๆ คือดูที่กิจกรรมดำเนินงานว่ามีการหักดอกเบี้ยจ่ายเงินสดหรือไม่ ไม่ใช่รายการบวกลับดอกเบี้ยจ่ายเพราะนั้นเป็นการบวกรายการทางบัญชีกลับทั้งก้อนก่อนลบออกด้วยรายการเงินสดดอกเบี้ยจ่าย หรืออาจดูในกิจกรรมจัดหาเงินว่ามีลบด้วยรายจ่ายเงินสดดอกเบี้ย (ต้นทุนทางการเงิน) หรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานยังไม่ลบดอกเบี้ยจ่ายเงินสดออก  
ITD  หน่วยล้านบาท                                                     2555           2554
เงินสดสุทธิได้มาจาก (ใช้ไปใน) กิจกรรมดำเนินงาน          2,100.3        3,970.2
กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน                                                                                     
     จ่ายดอกเบี้ย                                                     (2,297.2)      (2,344.0)
CK หน่วยล้านบาท
เงินสดจาก (ใช้ไปใน) กิจกรรมดำเนินงาน                      (1,273.6)    (3,046.6)
   จ่ายดอกเบี้ย                                                       (1,391.2)    (1,080.7)
   จ่ายภาษีเงินได้                                                      (770.7)       (266.1)
เงินสดสุทธิจาก (ใช้ไปใน) กิจกรรมดำเนินงาน                (3,435.5)       (4,393.5)
CFO ของ ITD จะเท่ากับ (196.9) และ 1,626.2   สำหรับปี 2555 และ 2554 ตามลำดับที่จะนำมาใช้ในการคำนวนอัตรส่วนคุณภาพกำไร ส่วนCFOของ CK ใช้ได้เลย

เคยเขียนมาก่อนหน้าว่า เป้าหมายกิจการคือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการ ไม่ใช่เพียงกำไรเท่านั้น ในเป้าหมาย Shareholders’ value creation กิจการต้องมุ่งทำให้สมดุลทั้งสามด้านคือ Make Profit, Generate Cash Flow และ Stay Solvency ซึ่งหลายกิจการมีกำไรสุทธิแต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นลบ กิจการเหล่านี้ถ้าสังเกตให้ดีกิจการที่มีกำไรแต่กระแสเงินสดดำนินงานเป็นลบ ล้วนแต่จะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้น และมักหนีไม่พ้นต้องเพิ่มทุนเพื่อลดภาระหนี้ ในทางการเงินถือว่าไม่เป็นการเพิ่มทุนที่ดี เพราะการเพิ่มทุนควรสร้างผลกำไรจากการลงทุนที่ให้ ROE ที่สูงขึ้นจากโครงการใหม่ ไม่ใช่ผลตอบแทนจากการลดดอกเบี้ยเพราะเท่ากับได้ ROE จากทุนใหม่เพียงผลตอบแทนเงินกู้เท่านั้น เรื่องนี้ถ้าเข้าใจหลักการเรื่อง Capital Budgeting ใน Finance ก็จะเข้าใจไม่ยาก

กำไรที่แสดงในงบกำไรขาดทุนเป็นผลมาจากการรับรู้ด้วยหลักเกณฑ์ค้างรับหรือเกณฑ์สิทธิ (Accrual Basis) ซึ่งถือว่าถูกต้องในการวัดผลทางกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่บางครั้งกำไรที่เห็นอาจจะไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าที่เป็นจริงได้ หากกำไรนั้นไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาในรูปเงินสดที่แท้จริง เช่นเมื่อขายสินค้า 100 บาท ต้นทุนสินค้าที่ซื้อมาเท่ากับ 80 บาท ณ จุดที่ขายเวลานั้นกำไรเกิดขึ้นเท่ากับ 20 บาท ถ้ากิจการซื้อเงินสดขายเงินสด กิจการจะมีเงินสดเพิ่มขึ้นทันที 20 บาท แต่ถ้ากิจการขายโดยให้เครดิต 10 วัน ในทางบัญชีวันนั้น รับรู้กำไร 20 บาทแปลความว่า กิจกกรมที่ทำในวันนั้น ทำให้มูลค่ากิจการเพิ่มขึ้น 20 บาท มูลค่าหรือสินทรัพย์ที่เพิ่มนั้นคือประโยชน์เชิงเศรษฐกิจนั่นเองเพียงแต่ประโยชน์ดังกล่าวเป็นสิทธิเรียกร้องได้ไม่ได้อยู่ในรูปตัวเงินเท่านั้น หากรับรู้กำไรตามเกณฑ์เงินสด ผลงานจะไปเกิดขึ้นในอีก 10 วันหลังขาย กิจกรรมการขายได้จบสิ้นไปแล้ว เพียงแต่ในทางปฏิบัติเราซื้อขายทุกวัน จ่ายเงินเก็บเงินทุกวัน จึงทำให้ดูเหมือนมีเงินเข้าออกทุกวัน ความจริงเงินนั้นมาจากการขายก่อนหน้าไม่ใช่จากกิจกรรมปัจจุบัน ดังนั้นทุกครั้งที่การขายเกิดขึ้นแล้วเสร็จเครดิตการค้าที่เราให้ลูกหนี้ก็เหมือนกับการที่ลูกหนี้ได้เก็บกำไรกิจการไว้ช่วงหนึ่งนั่นเอง แต่มูลค่ากิจการวัดจากกระแสเงินสดที่เกิดจริง ดังที่กล่าวไว้ว่าการรับเงินทุกวันทำให้ดูเหมือนกับขายแล้วได้เงินสดมาทุกวัน ดังตัวอย่างขาย 100 บาท กำไร 20 บาท ถ้าเช่นนี้ทุกวัน 10 วันให้หลังกิจการจะมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นวันละ 20 บาทต่อเนื่องตลอด มูลค่าของกิจการก็จะใช้กระแสเงินสดรับเข้าสุทธิวันละ 20 บาทเป็นตัวคำนวณมูลค่า ถ้าสมมติว่า การเก็บเงินมีปัญหาสะดุดบางช่วง กำไรจะยังคงเดิมอยู่แต่กระแสเงินสดจะเปลี่ยนไป เมื่อรูปแบบกระแสเงินสดเปลี่ยน ย่อมกระทบต่อมูลค่าธุรกิจ ในการวิเคราะห์งบการเงินกำไรที่เห็นกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานควรจะเปรียบเทียบกันได้ จากตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกมากิจการมีกำไรวันละ 20 บาท เงินสดได้วันละ 20 บาท ถือได้ว่ากำไรที่เห็นมีคุณภาพกำไรทางบัญชีที่ผ่านมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ตามปกติ โดยมีข้อสมมติว่าดำเนินกิจกรรมตามหลักการดำรงอยู่ต่อเนื่อง กำไรในอดีตคือเงินสดในวันนี้ และกำไรในวันนี้ก็จะเป็นเงินสดในวันหน้า ถ้าเงินสดได้รับน้อยกว่ากำไรที่เกิดขึ้น อาจจะกำลังสะท้อนปัญหาบางอย่างในกิจการที่บ่งชี้ถึงคุณภาพกำไรในอนาคตว่าจะมีปัญหาในการเปลี่ยนกำไรเป็นเงินสดสุทธิเข้ามาในกิจการ เช่น
บริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCCC
หน่วยล้านบาท                                         2555         2554          2553
   จ่ายดอกเบี้ย                                        (205.4)     (187.4)       (188.9)
   จ่ายภาษีเงินได้                                 (1,088.6)   (1,444.2)     (1,118.8)
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน        4,250.9   4,159.0      4,082.1  
กำไรสำหรับปี                                     3,637.3   3,291.4      2,696.3
QE                                                         1.17          1.26            1.51

บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ITD
หน่วยล้านบาท                                             2555           2554        2553
เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน          2,100.3        3,970.2        748.7
กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน                                                                                     
     จ่ายดอกเบี้ย                                      (2,297.2)      (2,344.0)   (1,973.6)
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน           (196.9)       1,626.2  (1,224.9) 
กำไรสำหรับปี                                            91.5      (1,642.1)     317.9
QE (Quality of Earning)                              (2.15)          (0.99)        (3.85)

อัตราส่วนที่ดีคือ > 1 ยิ่งสูงยิ่งดีและถ้ามีความผันผวนน้อยจะแสดงคุณภาพกำไรที่แปลงเป็นเงินสดเข้าบริษัทมาก ส่วนภ้าต่ำกว่า 1 บ่งชี้ถึงคุณภาพที่ต่ำ ยิ่งน้อยยิ่งไม่ดี ส่วนกรณที่ติดลบถือว่าคุณภาพยิ่งแย่มากวึ่งจะกระทบต่อการจ่ายปันผล เพราะQE ลบหมายถึง มีกระแสเงินสดแต่ไม่มีกำไร ก็จะจ่ายปันผลไม่ได้ (แม้จะมีกำไรสะสมก็จ่ายไม่ได้ถ้าวงดนั้นขาดทุน เพราะกฎหมายให้จ่ายปันผลได้เมื่อมีกำไรเท่านั้น) หากจะจ่ายได้ (รวมกำไรสะสมด้วย) ต้องรอในปีที่มีกำไรเท่านั้น ส่วนกรณีมีกำไรแต่เงินสดจากการดำเนินงานติดลบ แสดงว่าถ้าจะจ่ายก็ต้องกู้เงินมาจ่ายเท่านั้น (หรือขายสินทรัพย์เท่านั้น) ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไม ITD จึงมี D/E สูง และต้องมาเพิ่มทุน เพราะปีที่มีกำไรเงินสดจากการดำเนินงานกลับติดลบ และต้องมาจ่ายปันผล (ข้อมูลการจ่ายปันผลจะเหลื่อมปีกับปีที่แสดงกำไรเพราะการประกาศจ่ายเกิดในปีถัดไปหลังปิดบัญชีประจำปี)

SCC                                         2552                 2553                2554                 2555
ราคาล่าสุด(บาท)                           235                   234                     258                   420
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน(%)      4.68                  4.7                     4.26                    3.1
DPS                                         11.00               11.00                   10.99                 13.02

ITD                                                                                                                                                          
ราคาล่าสุด(บาท)                           2.94                  4.64                  3.62                  4.2
ตอบแทน(%)                               N.A.                  N.A.                  1.38                  N.A.
DPS                                           0.0                     0.0                    0.0                  0.0

ข้อสังเกต อัตราส่วนคุณภาพกำไรคำนวณจากกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานหารด้วยกำไรสุทธิ คำถามที่อาจเกิดขึ้นกรณีที่ใช้งบการเงินรวมคือ กำไรสุทธิควรใช้กำไรสุทธิก่อนหรือหลังหักส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยออก ถ้าพิจารณาจากสูตรและวัตถุประสงค์ของการสื่อความหมายของค่าที่ได้ที่จะใช้บอกถึงกำไรจากการดำเนินงานและเงินสดจากการดำเนินงาน กำไรสุทธิควรเป็นกำไรของส่วนเจ้าของทั้งหมดก่อนการแบ่งระหว่างผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่และผู้ถือหุ้นส่วนน้อย เพราะกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แสดงในงบกระแสเงินสดไม่ได้แสดงแยกออกว่าเป็นเงินสดของกลุ่มใดเท่าไร แม้ว่าการนำเสนอแบบทางออ้อมที่นิยมใช้จะเริ่มต้นด้วยกำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายในงบกำไรขาดทุนที่เป็นส่วนหลังจากหักส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยออกแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจะนำไปปรับปรุงในกิจกรรมการลงทุนเพื่อกระทบยอดเงินสดทั้งหมดโดยรวมให้ถูกต้อง ดังนั้นกระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงานจึงเป็นกระแสเงินสดของบริษัทโดยรวมที่มาจากการดำเนินงานทั้งหมด กำไรที่จะนำมาเปรียบเทียบจึงควรเป็นกำไรก่อนหักส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย

Modified Interest Coverage Ratio  (MICR) 

                 MICR   =         CFO before interest  / Cash of interest payment
  • เนื่องจากปัญหาจากผลกระทบจากมาตรฐานการบัญชีเรื่องต้นทุนการกู้ยืมที่สามารถ บันทึกเป็นสินทรัพย์ได้ ในด้านการนำเสนองบการเงินถูกต้องแล้ว แต่เมื่อนำตัวเลขมาใช้ในการวิเคราะห์ทางการเงินจะไม่เหมาะสม เหตุผลหนึ่งคืองบการเงินจัดทำด้วยข้อสมติฐานของหลักเกณฑ์ค้างรับ (Accrual Basis) ส่วนแนวคิดทางการเงินยึด Cash Basis และ Time Value of Money ทำให้เกิดความแตกต่างในการรับรู้มูลค่า ณ ช่วงเวลาเดียวกันในขณะหนึ่งๆ
  • บางครั้งการเปิดเผยข้อมูลถึงจำนวนดอกเบี้ยจ่ายทางบัญชีที่บันทึกเป็นต้นทุนสินทรัพย์อาจจะหาได้ยากสำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักบัญชีที่จะหาเองจากการอ่านหมายเหตุประกอบงบหรือต้องคำนวณจากข้อมูลในงบกานเงินเอง  สำหรับกิจการในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ต้องจัดทำงบกระแสเงินสด นักวิเคราะห์สามารถใช้ข้อมูลจากงบกระแสเงินสดมาคำนวณโดยตรง ค่าอัตราส่วนที่ได้นี้หรือ MICR จะให้การวิเคราะห์ที่ดีกว่ามาก
  • CFO before interest คือกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยเป็นตัวเงิน
  • ดอกเบี้ยเป็นตัวเงินนี้ในงบกระแสเงินสด สังเกตว่าดอกเบี้ยจ่ายหักจาก CFO หรือไม่ให้ดูว่ารายการจ่ายต้นบันทึกการกู้ยืมในกิจกรรมจ้ดหาเงินหรือไม่ ถ้าไม่แสดงว่าหักใน CFO ให้นำรายการจ่ายดอกเบี้ย(ต้นทุนการ้งิน)เป็นเงินสด บวกกลับในกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสุทธิ ก็จะได้ CFO before interest 
  • ส่วนตัวหารก็ใช้ค่าดอกเบี้ยจ่ายที่จ่ายเป็นเงินสดมาหาร
  • ค่า MICR ที่ดีควรมากกว่า 1 ยิ่งมากยิ่งดี
  • ค่า ICR และ MICR เป็นอัตราส่วนหนึ่งในการประเมิน Credit Rating

 SIRI
                                            2554          2553
ICR (EBT/I)                             13.6            11.6
 MICR   ((CFO +I)/I)                 (3.3)           (5.3)
EBIT                                   3,017         2,846
ต้นทุนทางการเงิน                        222            245
กำไรสำหรับปี                       2,016         1,898
CFOก่อนหักดอกเบี้ย                (2,966)        (2,844)  
จ่ายต้นทุนทางการเงิน                 (886)          (540)
CFO adj.                            (3,852)     (3,384)

ต้นทุนทางการเงิน (P/L)             (222)       (245)                                                      
จ่ายต้นทุนทางการเงิน (CF)        (886)        (540)
INT(PL) : INT(PCF)            0.25        0.45

Modified Debt Principal Payback Period

     Modified Debt Principal Payback Period   = Long-term Debts or Total Debts / CFO
  • Debt ในที่นี้คือหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย เช่นเงินกู้จากสถาบันการเงิน หุ้นกู้ หนี้สินจากสัญญาเช่าซื้อทางการเงิน ไม่นับรวมหนี้จากหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี หนี้สินจากภาระผูกพันของผลประโยชน์พนักงาน ประมาณการหนี้สินต่างๆ  หนี้สินที่เป็นประเภท non-interest barrier liabilities ปกติจะใช้หนี้ระยาวเท่านั้น แต่ในบางกิจการมีการก่อหนี้ระยะสั้นสูง ดังนั้น หนี้ระยะยาวที่มีภาระดอกเบี้ยแล้วจะบวกรวมหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยระยะสั้นด้วย เพราะรายการระยะยะสั้นที่แสดงในหนี้สินหมุนเวียนในความจริงก็คือส่วนหนึ่งของหนี้ระยาวที่เพียงแต่แยกเอาส่วนที่ครบถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีแสดงแยยกออกมา
  • อัตราส่วนนี้จะบอกให้ทราบว่าหนี้สินระยะยาวมีอยู่กี่เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานสุทธิ หรืออาจมองอย่างง่ายๆ ก็คือ ถ้าบริษัทนำเงินสดจากการดำเนินงาน (หลังหักรายจ่ายต่างๆ รวมทั้งดอกเบี้ย) แล้วมาจ่ายเงินต้น ถ้าบริษัทสามารถได้เงินสดสุทธิจากการดำเนินงานจำนวนดังกล่าวคงที่ จะใช้ระยะเวลากี่งวดจึงจะจ่ายเงินต้นได้หมด
  • ค่าที่คำนวณได้จะบอกนัยว่าระยะเวลาของหนี้ระยะยาวที่เหลืออยู่โดยเฉลี่ยกับระยะเวลาที่จะจ่ายหนี้หมดถ้าระยะเวลาเฉลี่ยของหนี้ระยะยาวมากว่าค่าที่คำนวณได้ตามสูตร หมายความว่า เมื่อถึงระยะเวลาครบกำหนดอายุเงินกู้บริษัทจะยังมีหนี้เหลืออยู่ที่ต้องชำระ สิ่งที่ทำได้คือ การ refinance หรือก่อหนี้ก้อนใหม่ หรืออาจต้องหาเงินมาชำระโดยการเพิ่มทุน
 SIRI                                                                                                            2554                2553
 Modified payback period (years)                                                                    (4.7)                            (4.3)
                                                                                                              unadequacy        unadequacy
เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน                                                               1,247                              215
เงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี                                                6,448                           4,992
หุ้นกู้ระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี                                                      998                                   -
เงินกู้ยืมระยะยาว                                                                                     4,302                           5,496
CFO                                                                                                   (2,966.24)                    (2,844.09)
จ่ายต้นทุนทางการเงิน                                                                              (886)                           (540)
CFO adj.                                                                                            (3,852)                   (3,384)
D/E                                                                                                      2.2                           2.3                         

สำหรับ แสนสิริมีค่าติดลบ แสดงการไม่มีเงินสดสุทธิจากกาดำเนินงานที่เพียงพอในการชำระหนี้ในตัวเอง การดำรงอยู่ปัจจุบันคือการหมุนเงินในกิจการ ไม่ต่างจากคนที่ถือบัตรเครดิต 10 ใบ เบิกเงินสดบัตรนั้นมาใส่บัตรนี้สิ้นเดือนเงินเดือนออก ก็เอาเงินเดือนใส่บัตรใบหนึ่งให้มีเครดิตไลน์เหลือเพื่อเบิกจ่ายหมุเวียน ในภาวะเศรษฐกิจปกติจะเหมือนไม่มีอะไร ความเสี่ยงอยู่ที่หาดเกิดการสะดุดตัวของเศรษฐกิจมากๆ สามารถเกิดวิกฤตได้ โครงสร้างแบบนี้เหมือนกบบริษัทหลายๆที่ซึ่งเกิดปัญหาในช่วงวิกฤตปี 40 ไม่ใช่เพียงแสนสืริเท่านั้น เกือบทุกตัวในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก็มีภาพแบบเดียวกัน ตราบใดยังไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจหุ้นเหล่านี้ก็จะไปได้ แต่ถ้าสะดุดเมื่อไร โบกมือลาก่อนได้เลย

Credit:https://www.facebook.com/notes/10202590070651411/