วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Accounting Analysis - สรุปความจากหนังสือ Business Analysis & Valuation บทที่ 3


Accounting Analysis - สรุปความจากหนังสือ Business Analysis & Valuation บทที่ 3

ชื่อเต็มๆคือ Business Analysis & Valuation Using Financial Statements ตำราเทพของอาจารย์Palepu, Healy และ Bernard

เล่มที่อ่านเป็น Second Edition ซึ่งมันก็เก่าประมาณนึงแล้ว (ตอนนี้มันปาไปจะ 5th Edition แล้ว ถ้ามี PDF ก็ขอด้วยนะ จุ้บๆ) เนื้อหาอาจจะไม่อัพเดทบ้างอะไรบ้าง คนสรุปก็ไม่ได้เก่งบัญชี ผิดพลาดคลาดเคลื่อนประการใดก็ช่วยชี้แนะด้วยนะคร้าบ

ครั้งนี้เราจะมาต่อในเรื่อง Accounting Analysis ซึ่งมันอยูตรงส่วนที่เป็นกรอบสีน้ำเงินๆในรูปข้างล่างนี้
หลังจากที่เราได้ทำ Business Strategy Analysis (กล่องข้างบนตรงกลาง) เป็นที่เรียบร้อย รู้จักมักจี่กับธุรกิจของบริษัทที่เราสนใจเรียบร้อยแล้ว Accounting Analysis ก็คือการวิเคราะห์คุณภาพของงบการเงิน(อันเป็น input เข้ามาในกระบวนการทำงานของเรา ตามรูปข้างบนก็คือกล่องบนซ้าย)ว่าคุณภาพของมันดีเลวแค่ไหน เชื่อถือได้ประมาณใด การประมาณการและสมมุติฐานต่างๆในงบการเงินสอดคล้องกับกลยุทธของบริษัท(ที่อธิบายกันมาในบทที่2)แค่ไหน ปัจจัยที่มีผลกับคุณภาพของงบการเงินก็อย่างเช่น
-         กฏข้อบังคับในการออกงบการเงิน ซึ่งบางครั้งทำให้ไม่สามารถสะท้อนภาพที่แท้จริงของธุรกิจออกมาได้
-         การประมาณการที่ผิดพลาด
-         การเลือกประมาณการที่อาจจะมีวาระซ่อนเร้น เช่น ประมาณหนี้ให้ต่ำๆ หาวิธีทำให้กำไรทางบัญชีสูงๆ(ผู้บริหารจะได้โบนัสงามๆ นักลงทุนจะได้แห่มาซื้อหุ้น) หรือทำให้กำไรต่ำๆ(จะได้เสียภาษีน้อยๆ ลูกค้าจะได้ไม่มากดราคาเรา สหภาพแรงงานจะได้ไม่เรียกร้องอะไรมาก) เปิดเผยข้อมูลในหมายเหตุประกอบงบน้อยๆ (เดี๋ยวคู่แข่งเราจะรู้เยอะเกินไป)

ขั้นตอนคร่าวๆในการทำ Accounting Analysis แบ่งเป็น ขั้นตอนคือ
1.มองให้ออกว่าตัวเลขอะไรในงบการเงินมีความสำคัญกับกลยุทธของบริษัท ตัวอย่างในหนังสือก็เช่น
- ธุรกิจลีสซิ่ง à มูลค่าซากของสินทรัพย์ที่ปล่อยเช่า
- ธนาคาร à หนี้สงสัยจะสูญ
- ค้าปลีก à ตัวเลขสินค้าคงเหลือ
- ธุรกิจผลิตล้านแปด à ยอดคืนสินค้า ยอดเคลม สินค้าคงเหลือ ค่าR&D
   (ตัวไหนก็แล้วแต่ว่าบริษัทใช้กลยุทธอะไรในการแข่งขัน)

2.แล้วบริษัทมีอิสระมากน้อยแค่ไหนในการคำนวณตัวเลขเหล่านั้น
ตัวเลขบางอย่างเช่นค่าใช้จ่ายในการวิจัย หรือในการทำการตลาด ค่าโฆษณา จะถูกบังคับให้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทำให้บางครั้งไม่สามารถสะท้อนภาพที่แท้จริงของบริษัทได้ เราก็อาจจะให้ความสำคัญกับตัวเลขพวกนี้ในงบการเงินน้อยลง(เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไรนัก) หรือมองหาตัวเลขจากแหล่งอื่นๆที่พอจะใช้แทนกันได้

3.แล้วบริษัทใช้สมมุติฐานอะไรหรือประมาณการยังไงในการคำนวณตัวเลขเหล่านั้น
ภายในกรอบของความอิสระในการออกงบการเงิน(ตามข้อ2) บริษัทเลือกวิธีที่สะท้อนภาพความจริงที่สุดแล้ว หรือบริษัทเลือกวิธีประมาณการที่มีวาระซ่อนเร้นเพื่อปกปิดอะไรหรือเปล่า โดยเราอาจเปรียบเทียบสมมุติฐานหรือวิธีประมาณการกับงบการเงินของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันว่าเหมือนหรือต่างกันยังไง หรือบริษัทมีการเปลี่ยนวิธีประมาณการหรือเปล่า ด้วยเหตุผลอะไร เหมาะสมหรือไม่ บริษัทมีแรงจูงใจอะไรให้บิดเบือนตัวเลขในงบการเงินหรือเปล่า (เช่น D/E ปริ่มๆแล้ว) หรือประมาณการต่างๆที่เคยทำไว้ในอดีตมันใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน มีadjustอะไรกันครึกโครมย้อนหลังหรือเปล่า

4.บริษัทเปิดเผยข้อมูลในหมายเหตุประกอบงบการเงินละเอียดพอหรือเปล่า

5.มองหาสัญญาณเตือนในงบการเงินที่ควรระวังและขุดคุ้ยเพิ่มเติม เช่น
อยู่ดีๆก็เปลี่ยนวิธีประมาณการโดยไม่มีเหตุผลที่ดี
อยู่ดีๆก็มีรายการประหลาดๆเกิดขึ้น
ลูกหนี้เพิ่มเกินหน้าเกินตายอดขาย
   อาจจะมีหนี้สูญหรือยอดคืนสินค้าระเบิดตูมตามมาในงวดถัดไป
สินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นเกินหน้าเกินตายอดขาย
   อันนี้แล้วแต่กรณีไป เช่นถ้าสินค้าคงเหลือเพิ่มเยอะเกิน อาจจะขายไม่ออกแล้ว อาจจะต้องขายเลหลังถูกๆในอนาคตหรือเปล่า สินค้าระหว่างผลิตเพิ่มเยอะ อาจจะเพราะมองว่ามีโอกาสขายได้เยอะเลยเร่งผลิตหรือเปล่า วัตถุดิบเพิ่มขึ้นเยอะ เกิดจากความผิดพลาดในการสั่งซื้อหรือว่าเกิดปัญหาในการผลิตหรือเปล่า
กำไรในงบกำไรขาดทุนกับ cash flow เริ่มจะห่างเหินกันเกินไป
   แอบเปลี่ยนวิธีรับรู้รายได้หรือแต่งบัญชีเพื่อให้กำไรออกมางามๆหรือเปล่า
มีการ write-off ก้อนใหญ่ๆหรือเปล่า
ทำธุรกิจวิธีแปลกๆเพื่อให้ตัวเลขทางบัญชีออกมางามๆหรือเปล่า
มี gap ระหว่างงบรายไตรมาสกับงบปีมาก
   งบรายไตรมาสอาจจะทำตัวเลขสวยๆ(เพราะการตรวจสอบเข้มข้นน้อยกว่างบปี) พองบปีออกมาตัวเลขต่างกับงบรายไตรมาสราวฟ้ากับเหวหรือเปล่า
เปลี่ยนบริษัทผู้ตรวจบัญชีหรือเปล่า เปลี่ยนทำไม มีนัยยะอะไรหรือเปล่า
มีรายการระหว่างกันมากน้อยแค่ไหน
ป.ล. ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ไม่ได้บอกว่าถ้ามีสัญญาณเหล่านี้แล้วจะเลวไปเสียหมด บางครั้งอาจเกิดจากการเปลี่ยนกลยุทธของบริษัทก็ได้ แต่แค่ให้ตรวจสอบเพิ่มเติมแค่นั้น


6.คำนวณตัวเลขในงบการเงินใหม่ถ้าจำเป็น

แถมท้ายแบบสั้นๆกับข้อควรระวังในการทำ accounting analysis 3 ข้อคือ
-         conservative accounting ไม่ใช่เรื่องดี
งบการเงินที่ดีคืองบการเงินที่สะท้อนภาพของบริษัทตามความเป็นจริง ไม่ดีเกินไป ไม่แย่เกินไป
-         วิธีลงบัญชีที่แปลกกว่าบริษัทอื่นๆไม่ได้หมายความว่าผิดเสมอไป
บางครั้งอาจจะเป็นเพราะเค้าทำธุรกิจแปลกกว่าคนอื่นก็ได้
-         อย่ามองว่าการเปลี่ยนวิธีลงงบการเงินหมายความว่าบริษัทกำลังแต่งบัญชีเสมอไป
บางครั้งมันก็มีเหตุผลที่สมควร

เป็นอันว่าจบบทที่สามแต่เพียงเท่านี้ เจอกันครั้งหน้าที่บทที่สี่ เรื่อง Asset Analysis เลยครับ

สรุปความจากหนังสือ Business Analysis & Valuation บทที่ 2


Strategy Analysis - สรุปความจากหนังสือ Business Analysis & Valuation บทที่ 2

ชื่อเต็มๆคือ Business Analysis & Valuation Using Financial Statements ตำราเทพของอาจารย์Palepu, Healy และ Bernard

เล่มที่อ่านเป็น Second Edition ซึ่งมันก็เก่าประมาณนึงแล้ว (ตอนนี้มันปาไปจะ 5th Edition แล้ว ถ้ามีPDFก็ขอด้วยนะ จุ้บๆ) เนื้อหาอาจจะไม่อัพเดทบ้างอะไรบ้าง คนสรุปก็ไม่ได้เก่งบัญชี ผิดพลาดคลาดเคลื่อนประการใดก็ช่วยชี้แนะด้วยนะคร้าบ

มาต่อกันที่บทที่ 2 เรื่อง Strategy Analysis ครับ
กลยุทธของบริษัทแบ่งได้เป็น 3 เรื่องหลักๆ
1.       industry choice คือ บริษัทเลือกที่จะทำธุรกิจในตลาดไหน
2.       competitive positioning คือ บริษัทเลือกที่จะสู้กับคู่แข่งแบบไหน
3.       corporate strategy คือ บริษัทเลือกที่จะลุยเดี่ยวหรือสู้แบบเป็นกลุ่ม

Industry Analysis

การวิเคราะห์ในเรื่องแรกคือ industry analysis จะวิเคราะห์โดยใช้ five forces ซึ่งมีปัจจัยหลัก ตัวที่สามารถแบ่งย่อยเป็น กลุ่มได้ กลุ่มแรกคือปัจจัยที่เป็นตัวตัดสินว่ามีโอกาสทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหนในตลาด หรือพูดอีกแบบนึงว่าในตลาดนั้นแข่งขันกันมากน้อยแค่ไหน(ถ้าแข่งกันเลือดสาด โอกาสทำกำไรได้เยอะๆก็น้อยลง) ปัจจัยในกลุ่มนี้ได้แก่
1.       ผู้เล่นหน้าเดิมๆในตลาด
2.       ผู้เล่นหน้าใหม่ๆที่อาจจะเข้ามา
3.       สินค้าทดแทนที่จะมาแย่งส่วนแบ่งตลาด
ส่วนปัจจัยกลุ่มที่สองจะเป็นตัวกำหนดว่า แล้วไอ้เจ้ากำไรเยอะๆเนี่ย ใครจะเป็นคนได้ไปมากน้อยแค่ไหน อันนี้ก็ขึ้นกับอำนาจการต่อรองของผู้เล่นในตลาด ซึ่งนอกจากตัวบริษัทแล้วก็จะมี
4.       อำนาจการต่อรองของผู้ซื้อ
5.       อำนาจการต่อรองของผู้ขาย
เราจะไล่ดูไปทีละข้ออย่างละเอียด (เพราะหนังสือเล่มนี้อธิบายเรื่อง five forces ได้ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาเลย)

เริ่มจากข้อแรก เรื่องผู้เล่นหน้าเดิมๆในตลาด แน่นอนว่า ถ้ามีผู้เล่นเยอะ ตลาดนั้นก็จะแข่งกันแรง จะขายแพงๆก็คงลำบาก กำไรก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย ทีนี้ ผู้เล่นในตลาดนั้นจะถือว่าเยอะหรือน้อยก็ขึ้นกับหลายๆปัจจัยอีก เช่น
-         ตลาดโดยรวมยังโตอยู่มั้ย
ถ้าตลาดโดยรวมยังโตอยู่ คู่แข่งก็ไม่จำเป็นต้องแย่งส่วนแบ่งการตลาดกันเอง ดังนั้นการแข่งขันก็จะไม่รุนแรงนัก
-         มีบริษัทที่เป็นเจ้าใหญ่ๆหรือเปล่า
ถ้ามีบริษัทที่เป็นเจ้าใหญ่ๆ 2-3 เจ้า บริษัทพวกนั้นก็จะเป็นผู้กำหนดราคา ดังนั้นการแข่งกันตัดราคาก็จะน้อย
-         สินค้ามีความแตกต่างแค่ไหน switching cost ของลูกค้าสูงหรือต่ำ
ถ้าสินค้ามีความแตกต่างกันพอสมควร หรือ switching cost สูง การจะเปลี่ยนยี่ห้อหรือเปลี่ยนบริษัทก็จะยาก การตัดราคาเพื่อแย่งลูกค้ากันก็จะน้อย

ข้างบนนั้นแต่ละข้อเขียนด้วยตัวสีน้ำเงิน คือถ้ามีปัจจัยพวกนี้ ก็จะดีกับบริษัทในตลาด แต่ข้อต่อๆไปที่เป็นตัวสีแดงคือ ถ้ามีก็ตัวใครตัวมัน
-         เป็น scale/learning economy หรือเปล่า
scale economy คือ ยิ่งผลิตเยอะยิ่งต้นทุนต่ำ ส่วน learning economy คือยิ่งผลิตเยอะยิ่งมี know-how มาก ยิ่งต้นทุนต่ำ ดังนั้น ถ้ามีลักษณะเหล่านี้ การที่มีmarket share เยอะๆก็จะดี ดังนั้น สงครามราคาก็จะเกิดขึ้นเพื่อแย่ง market share กัน
-         ต้นทุนคงที่สูงหรือเปล่า
ถ้าต้นทุนคงที่สูง หมายความว่ายิ่งผลิตเยอะ ต้นทุนต่อหน่วยก็จะยิ่งต่ำ อันนี้ก็เหมือนข้อข้างบนคือ market share เยอะจะได้เปรียบ ดังนั้น สงครามราคาก็จะตามมา
-         มีกำลังการผลิตมากเกินความต้องการหรือเปล่า
แน่นอนว่าถ้ากำลังการผลิตมากเกิน ก็จะแย่งกันผลิต แย่งกันขาย แย่งกันตัดราคาอยู่แล้ว (ยังไงก็ดีกว่าปล่อยเครื่องจักรทิ้งไว้เฉยๆละมั้ง)
-         อุปสรรคในการออกจากตลาด (barrier of exit)
ถ้าการออกจากตลาดเป็นเรื่องยาก ถึงบริษัทจะไม่ได้กำไรเท่าไหร่นักก็คงจะทู่ซี้ทำกันไป ทำให้จำนวนคู่แข่งไม่ค่อยลดลง การแข่งขันก็จะรุนแรง

ต่อด้วยข้อที่สอง เรื่องผู้เล่นหน้าใหม่ๆที่จะเข้ามาในตลาด แน่นอนว่า ถ้าตลาดนั้นทำกำไรได้ดี๊ดี ใครที่เงินถึงก็อยากจะเข้ามาทำบ้าง คู่แข่งในตลาดก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ กำไรที่เคยดี๊ดีก็จะดีน้อยลง ทีนี้ การที่จะเข้าสูตลาดจะยากหรือง่ายก็ขึ้นกับหลายๆปัจจัยอีก เช่น
-         economy of scale
ปัจจัยนี้จะส่งผลแตกต่างจาก five force ข้อแรก(ซึ่งเป็นตัวสีแดง) ในกรณีนี้ ถ้าตลาดมี economy of scale ผู้เล่นหน้าใหม่จะเข้ามาได้ยาก เพราะถ้าเข้ามาโดยเริ่มต้นด้วยไซส์เล็กๆ ต้นทุนก็จะสูง จะขายสู้เจ้าเดิมๆไม่ได้ แต่ถ้าจะเข้ามาด้วยไซส์ใหญ่ๆเลย ก็ต้องลงทุนเยอะ เงินไม่หนาจริงไม่มีสิทธิ์ economy of scale ในที่นี้อาจจะเป็นเรื่อง R&D ที่ต้องมีการวิจัยพัฒนาเยอะกว่าจะได้ขาย หรือต้นทุนในการโฆษณา (ต้องโฆษณาหนักๆกว่าจะติดตลาด) หรือต้องลงทุนในโรงงานและอุปกรณ์สูงๆ เป็นต้น
-         เริ่มก่อนได้เปรียบรึเปล่า
ถ้าเป็นตลาดที่ผู้เล่นที่เข้ามาก่อนได้เปรียบ เช่น
o   สามารถตั้งมาตรฐานของสินค้าได้
o   ต้องแย่ง resource ที่มีจำกัด เช่น supplier, distribution channel, license เป็นต้น
o   มี learning economy
o   switching cost ของลูกค้าสูง
ถ้าเป็นแบบนี้ พวกที่ตามเข้ามาทีหลังก็จะเสียเปรียบ ดังนั้นก็จะไม่ค่อยมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามามากนัก
-         การเข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่ายหรือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ายากหรือเปล่า
ถ้ามันยากหรือต้องใช้เวลา ผู้เล่นที่เข้ามาทีหลังก็จะเสียเปรียบ (คล้ายๆกับข้อบนเนอะ คือมาก่อนได้เปรียบ) ตัวอย่างเช่น การขายรถที่ต้องมี dealer ช่วยขาย หรือสินค้าที่ต้องแย่งพื้นที่จัดวางในร้าน หรือบริการที่ต้องอาศัยความไว้วางใจของลูกค้า (บริษัทที่ปรึกษาต่างๆก็น่าจะใช่)
-         อำนาจการกีดกันของกฏหมายข้อบังคับ
อย่างเช่นพวกลิขสิทธิ์ ใบอนุญาตต่างๆ ตัวอย่างธุรกิจที่มีก็เช่นพวกสื่อวิทยุโทรทัศน์ ธุรกิจสื่อสาร โรงพยาบาล เป็นต้น

ข้อต่อมา เรื่องสินค้าทดแทนที่จะเข้ามาแย่งลูกค้าในตลาด ทำให้ตลาดเล็กลง ผู้เล่นที่เคยขายได้สบายๆก็จะเริ่มลำบากขึ้น สินค้าที่จะเข้ามาทดแทนได้นั้น ไม่จำเป็นต้องหน้าตาเหมือนกัน แต่ขอให้ทำหน้าที่แทนกันได้ก็โอเค เช่น รถเช่าอาจจะเป็นสินค้าทดแทนของตั๋วเครื่องบิน(กรณีที่บินระยะสั้นๆ) ขวดพลาสติกเป็นสินค้าทดแทนของกระป๋อง หรืออาจจะมาในรูปของเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ลูกค้าใช้สินค้าเราน้อยลงหรือไม่ใช้เลย (อันนี้ซวย)
แต่ก็อย่าได้กังวลไป เพราะถึงจะมีสินค้าที่สามารถแทนกันได้ แต่ถ้าราคามันไม่ได้ต่างกันมาก อันนี้ก็ไม่มีผลกระทบมากเท่าไหร่ และปัจจัยอีกอันที่สำคัญกว่าคือ แล้วลูกค้าอยากจะเปลี่ยนไปใช้สินค้านั้นหรือเปล่า ตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าโหลก็เป็นสินค้าทดแทนของเสื้อแบรนด์ดังเหมือนกันในแง่ที่ว่ามันก็เอามาใส่ได้เหมือนกัน แต่ลูกค้าบางส่วนอาจจะเลือกแบรนด์เนมเพราะใส่แล้วเท่ ดูดี อะไรก็ว่ากันไป (ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของ feature ที่จับต้องไม่ได้ เช่นความดูดีมีชาติตระกูล เสื้อโหลก็คงไม่ใช่สินค้าทดแทนของเสื้อแบรนด์เนมละมั้ง)
ทวนอีกครั้งว่า five force ทั้ง ข้อที่อธิบายมานั้น เป็นปัจจัยที่จะบอกเราว่า ตลาดนั้นมีโอกาสทำกำไรสูงๆได้แค่ไหน ซึ่งสรุปว่า ถ้าตลาดแข่งกันดุ(ด้วยผู้เล่นหน้าเดิมหรือหน้าใหม่หน้าไหนๆก็แล้วแต่)หรือตลาดหดตัวลง(ด้วยสินค้าทดแทน) โอกาสจะได้กำไรสูงๆก็น้อย

เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อส่วนที่เหลืออีก 2 ตัวใน five forces ครับ
หลังจากตอนที่แล้วเราสรุปกันเรื่อง Strategy Analysis >> Industry Analysis ซึ่งใช้ Five Forces ในการวิเคราะห์ และอธิบายถึง Forces 3 ตัวแรกคือ 
(1) คู่แข่งขันเดิมในตลาด
(2) คู่แข่งใหม่ๆที่จะเข้ามา และ
(3) สินค้าทดแทน
สามปัจจัยนี้เป็นตัวกำหนดว่า ในอุตสาหกรรมนั้นๆมีโอกาสทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน อีกสองปัจจัยที่เหลือคือ
(4) อำนาจการต่อรองของลูกค้า
(5) อำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์
จะเป็นตัวกำหนดว่า โอกาสตรงนั้นใครจะได้ไประหว่างลูกค้าของเรา บริษัทเรา หรือว่าซัพพลายเออร์ของเรา

อำนาจการต่อรองของลูกค้าจะขึ้นกับสองปัจจัยย่อยๆอีกคือ 
a) price sensitivity คุณลูกค้าสนใจเรื่องราคาหรือเปล่า
คุณลูกค้าสนใจเรื่องราคาหรือเปล่านั้นก็ขึ้นกับว่า
-         สินค้าที่เราขายให้นั้นมีความแตกต่างจากเจ้าอื่นหรือเปล่า
-         switching cost ของลูกค้าสูงหรือเปล่า
-         ราคาของสินค้าเราต่อโครงสร้างต้นทุนของลูกค้า
ถ้าสินค้าเราเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของลูกค้าละก็ ลูกค้าก็จะสนใจที่จะลดต้นทุนส่วนนี้แล้วก็จะต่อราคาสะบั้นหั่นแหลกแน่นอน แต่ถ้าสินค้าเราเป็นแค่ต้นทุนเสี้ยวเล็กๆของลูกค้าแล้ว ราคาสินค้าเราจะแพงนิดแพงหน่อย ใครที่ไหนจะมาสนใจ
-         สินค้าเรามีความสำคัญสำหรับลูกค้าหรือเปล่า
แน่นอนว่าลูกค้าเราก็ซื้อของจากเราไปผลิตของขายของเค้าอีกทีนึง (ไม่ได้ซื้อไปทิ้งทะเล) ดังนั้น ถ้าสินค้าของเรามีส่วนชี้เป็นชี้ตายเรื่องคุณภาพหรือความน่าเชื่อถือของสินค้าของลูกค้า(งงมะ) ถึงราคาเราจะแพงไปหน่อย แต่ถ้าทำให้สินค้าของลูกค้าดูดีมีคุณภาพ มันก็โอเค
b) bargaining power คุณลูกค้ามีอำนาจในการต่อรองหรือเปล่า
ถึงคุณลูกค้าจะสนใจเรื่องราคาและยอมลงทุนลงแรงต่อราคาหรือหาเจ้าที่ให้ถูกที่สุด แต่ลูกค้าจะมีอำนาจพอที่จะต่อรองกับเราหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับว่า
-         มีคนขายของเหมือนเราเยอะหรือเปล่า
-         ลูกค้าซื้อของเราเยอะๆหรือเปล่า (ลูกค้าสำคัญกับรายได้ของเราแค่ไหน)
-         มีสินค้าอื่นที่ใช้แทนสินค้าเราหรือเปล่า
-         switching cost ของลูกค้าสูงหรือเปล่า
-         สินค้าเรามีความสำคัญสำหรับลูกค้าหรือเปล่า

ตัวอย่างในหนังสือพูดถึงนักบินกับสายการบิน โดยมองว่าสายการบินเป็นลูกค้า ในกรณีนี้ นักบินโคตรสำคัญสำหรับสายการบินมาก (ไม่มีนักบินเครื่องบินก็บินไม่ได้ นักบินห่วยๆก็อันตราย เครื่องบินตกเสียชื่อเสียงและจะวุ่นวายกันไปหมด) ดังนั้น นักบินสำคัญกับสายการบินมาก ดังนั้น นักบินมีอำนาจต่อรองสูงกว่า ดังนั้น นักบินได้เงินเยอะ - -;
จบเรื่อง five force และ industry analysis แค่นี้ อย่างงว่า อ้าว แล้วอันสุดท้ายเรื่องอำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์หายไปไหน เพราะจะเป็นเรื่องระหว่างลูกค้า.vs.บริษัท หรือบริษัท.vs.ซัพพลายเออร์มันก็ครือๆกันนั่นแล
เสริมเรื่องจุดอ่อนของ industry analysis อีกนิดนึงว่า การตีกรอบว่า industry นั้นเอาแค่ไหนมีความสำคัญมาก เพราะจะมีผลกับผู้เล่นในตลาดว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าตีกรอบ industry ผิด ผลการวิเคราะห์ก็อาจจะแตกต่างออกไปเลย
เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อเรื่อง Competitive Positioning ครับ
หลังจากตอนที่แล้วเราสรุปกันเรื่อง Strategy Analysis >> Industry Analysis ซึ่งใช้ Five Forces ในการวิเคราะห์ และอธิบายถึง Forces 3 ตัวแรกคือ 
(1) คู่แข่งขันเดิมในตลาด
(2) คู่แข่งใหม่ๆที่จะเข้ามา และ
(3) สินค้าทดแทน
สามปัจจัยนี้เป็นตัวกำหนดว่า ในอุตสาหกรรมนั้นๆมีโอกาสทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน อีกสองปัจจัยที่เหลือคือ
(4) อำนาจการต่อรองของลูกค้า
(5) อำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์
จะเป็นตัวกำหนดว่า โอกาสตรงนั้นใครจะได้ไประหว่างลูกค้าของเรา บริษัทเรา หรือว่าซัพพลายเออร์ของเรา

อำนาจการต่อรองของลูกค้าจะขึ้นกับสองปัจจัยย่อยๆอีกคือ 
a) price sensitivity คุณลูกค้าสนใจเรื่องราคาหรือเปล่า
คุณลูกค้าสนใจเรื่องราคาหรือเปล่านั้นก็ขึ้นกับว่า
-         สินค้าที่เราขายให้นั้นมีความแตกต่างจากเจ้าอื่นหรือเปล่า
-         switching cost ของลูกค้าสูงหรือเปล่า
-         ราคาของสินค้าเราต่อโครงสร้างต้นทุนของลูกค้า
ถ้าสินค้าเราเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของลูกค้าละก็ ลูกค้าก็จะสนใจที่จะลดต้นทุนส่วนนี้แล้วก็จะต่อราคาสะบั้นหั่นแหลกแน่นอน แต่ถ้าสินค้าเราเป็นแค่ต้นทุนเสี้ยวเล็กๆของลูกค้าแล้ว ราคาสินค้าเราจะแพงนิดแพงหน่อย ใครที่ไหนจะมาสนใจ
-         สินค้าเรามีความสำคัญสำหรับลูกค้าหรือเปล่า
แน่นอนว่าลูกค้าเราก็ซื้อของจากเราไปผลิตของขายของเค้าอีกทีนึง (ไม่ได้ซื้อไปทิ้งทะเล) ดังนั้น ถ้าสินค้าของเรามีส่วนชี้เป็นชี้ตายเรื่องคุณภาพหรือความน่าเชื่อถือของสินค้าของลูกค้า(งงมะ) ถึงราคาเราจะแพงไปหน่อย แต่ถ้าทำให้สินค้าของลูกค้าดูดีมีคุณภาพ มันก็โอเค
b) bargaining power คุณลูกค้ามีอำนาจในการต่อรองหรือเปล่า
ถึงคุณลูกค้าจะสนใจเรื่องราคาและยอมลงทุนลงแรงต่อราคาหรือหาเจ้าที่ให้ถูกที่สุด แต่ลูกค้าจะมีอำนาจพอที่จะต่อรองกับเราหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับว่า
-         มีคนขายของเหมือนเราเยอะหรือเปล่า
-         ลูกค้าซื้อของเราเยอะๆหรือเปล่า (ลูกค้าสำคัญกับรายได้ของเราแค่ไหน)
-         มีสินค้าอื่นที่ใช้แทนสินค้าเราหรือเปล่า
-         switching cost ของลูกค้าสูงหรือเปล่า
-         สินค้าเรามีความสำคัญสำหรับลูกค้าหรือเปล่า

ตัวอย่างในหนังสือพูดถึงนักบินกับสายการบิน โดยมองว่าสายการบินเป็นลูกค้า ในกรณีนี้ นักบินโคตรสำคัญสำหรับสายการบินมาก (ไม่มีนักบินเครื่องบินก็บินไม่ได้ นักบินห่วยๆก็อันตราย เครื่องบินตกเสียชื่อเสียงและจะวุ่นวายกันไปหมด) ดังนั้น นักบินสำคัญกับสายการบินมาก ดังนั้น นักบินมีอำนาจต่อรองสูงกว่า ดังนั้น นักบินได้เงินเยอะ - -;
จบเรื่อง five force และ industry analysis แค่นี้ อย่างงว่า อ้าว แล้วอันสุดท้ายเรื่องอำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์หายไปไหน เพราะจะเป็นเรื่องระหว่างลูกค้า.vs.บริษัท หรือบริษัท.vs.ซัพพลายเออร์มันก็ครือๆกันนั่นแล
เสริมเรื่องจุดอ่อนของ industry analysis อีกนิดนึงว่า การตีกรอบว่า industry นั้นเอาแค่ไหนมีความสำคัญมาก เพราะจะมีผลกับผู้เล่นในตลาดว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าตีกรอบ industry ผิด ผลการวิเคราะห์ก็อาจจะแตกต่างออกไปเลย
เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อเรื่อง Competitive Positioning ครับ
หลังจากตอนที่แล้วเราสรุปกันเรื่อง Strategy Analysis >> Industry Analysis ซึ่งใช้ Five Forces ในการวิเคราะห์ และอธิบายถึง Forces 3 ตัวแรกคือ 
(1) คู่แข่งขันเดิมในตลาด
(2) คู่แข่งใหม่ๆที่จะเข้ามา และ
(3) สินค้าทดแทน
สามปัจจัยนี้เป็นตัวกำหนดว่า ในอุตสาหกรรมนั้นๆมีโอกาสทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน อีกสองปัจจัยที่เหลือคือ
(4) อำนาจการต่อรองของลูกค้า
(5) อำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์
จะเป็นตัวกำหนดว่า โอกาสตรงนั้นใครจะได้ไประหว่างลูกค้าของเรา บริษัทเรา หรือว่าซัพพลายเออร์ของเรา

อำนาจการต่อรองของลูกค้าจะขึ้นกับสองปัจจัยย่อยๆอีกคือ 
a) price sensitivity คุณลูกค้าสนใจเรื่องราคาหรือเปล่า
คุณลูกค้าสนใจเรื่องราคาหรือเปล่านั้นก็ขึ้นกับว่า
-         สินค้าที่เราขายให้นั้นมีความแตกต่างจากเจ้าอื่นหรือเปล่า
-         switching cost ของลูกค้าสูงหรือเปล่า
-         ราคาของสินค้าเราต่อโครงสร้างต้นทุนของลูกค้า
ถ้าสินค้าเราเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของลูกค้าละก็ ลูกค้าก็จะสนใจที่จะลดต้นทุนส่วนนี้แล้วก็จะต่อราคาสะบั้นหั่นแหลกแน่นอน แต่ถ้าสินค้าเราเป็นแค่ต้นทุนเสี้ยวเล็กๆของลูกค้าแล้ว ราคาสินค้าเราจะแพงนิดแพงหน่อย ใครที่ไหนจะมาสนใจ
-         สินค้าเรามีความสำคัญสำหรับลูกค้าหรือเปล่า
แน่นอนว่าลูกค้าเราก็ซื้อของจากเราไปผลิตของขายของเค้าอีกทีนึง (ไม่ได้ซื้อไปทิ้งทะเล) ดังนั้น ถ้าสินค้าของเรามีส่วนชี้เป็นชี้ตายเรื่องคุณภาพหรือความน่าเชื่อถือของสินค้าของลูกค้า(งงมะ) ถึงราคาเราจะแพงไปหน่อย แต่ถ้าทำให้สินค้าของลูกค้าดูดีมีคุณภาพ มันก็โอเค
b) bargaining power คุณลูกค้ามีอำนาจในการต่อรองหรือเปล่า
ถึงคุณลูกค้าจะสนใจเรื่องราคาและยอมลงทุนลงแรงต่อราคาหรือหาเจ้าที่ให้ถูกที่สุด แต่ลูกค้าจะมีอำนาจพอที่จะต่อรองกับเราหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับว่า
-         มีคนขายของเหมือนเราเยอะหรือเปล่า
-         ลูกค้าซื้อของเราเยอะๆหรือเปล่า (ลูกค้าสำคัญกับรายได้ของเราแค่ไหน)
-         มีสินค้าอื่นที่ใช้แทนสินค้าเราหรือเปล่า
-         switching cost ของลูกค้าสูงหรือเปล่า
-         สินค้าเรามีความสำคัญสำหรับลูกค้าหรือเปล่า

ตัวอย่างในหนังสือพูดถึงนักบินกับสายการบิน โดยมองว่าสายการบินเป็นลูกค้า ในกรณีนี้ นักบินโคตรสำคัญสำหรับสายการบินมาก (ไม่มีนักบินเครื่องบินก็บินไม่ได้ นักบินห่วยๆก็อันตราย เครื่องบินตกเสียชื่อเสียงและจะวุ่นวายกันไปหมด) ดังนั้น นักบินสำคัญกับสายการบินมาก ดังนั้น นักบินมีอำนาจต่อรองสูงกว่า ดังนั้น นักบินได้เงินเยอะ - -;
จบเรื่อง five force และ industry analysis แค่นี้ อย่างงว่า อ้าว แล้วอันสุดท้ายเรื่องอำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์หายไปไหน เพราะจะเป็นเรื่องระหว่างลูกค้า.vs.บริษัท หรือบริษัท.vs.ซัพพลายเออร์มันก็ครือๆกันนั่นแล
เสริมเรื่องจุดอ่อนของ industry analysis อีกนิดนึงว่า การตีกรอบว่า industry นั้นเอาแค่ไหนมีความสำคัญมาก เพราะจะมีผลกับผู้เล่นในตลาดว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าตีกรอบ industry ผิด ผลการวิเคราะห์ก็อาจจะแตกต่างออกไปเลย
เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อเรื่อง Competitive Positioning ครับ

หลังจากตอนที่แล้วเราสรุปกันเรื่อง Strategy Analysis >> Industry Analysis ซึ่งใช้ Five Forces ในการวิเคราะห์ และอธิบายถึง Forces 3 ตัวแรกคือ 
(1) คู่แข่งขันเดิมในตลาด
(2) คู่แข่งใหม่ๆที่จะเข้ามา และ
(3) สินค้าทดแทน
สามปัจจัยนี้เป็นตัวกำหนดว่า ในอุตสาหกรรมนั้นๆมีโอกาสทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน อีกสองปัจจัยที่เหลือคือ
(4) อำนาจการต่อรองของลูกค้า
(5) อำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์
จะเป็นตัวกำหนดว่า โอกาสตรงนั้นใครจะได้ไประหว่างลูกค้าของเรา บริษัทเรา หรือว่าซัพพลายเออร์ของเรา

อำนาจการต่อรองของลูกค้าจะขึ้นกับสองปัจจัยย่อยๆอีกคือ 
a) price sensitivity คุณลูกค้าสนใจเรื่องราคาหรือเปล่า
คุณลูกค้าสนใจเรื่องราคาหรือเปล่านั้นก็ขึ้นกับว่า
-         สินค้าที่เราขายให้นั้นมีความแตกต่างจากเจ้าอื่นหรือเปล่า
-         switching cost ของลูกค้าสูงหรือเปล่า
-         ราคาของสินค้าเราต่อโครงสร้างต้นทุนของลูกค้า
ถ้าสินค้าเราเป็นต้นทุนส่วนใหญ่ของลูกค้าละก็ ลูกค้าก็จะสนใจที่จะลดต้นทุนส่วนนี้แล้วก็จะต่อราคาสะบั้นหั่นแหลกแน่นอน แต่ถ้าสินค้าเราเป็นแค่ต้นทุนเสี้ยวเล็กๆของลูกค้าแล้ว ราคาสินค้าเราจะแพงนิดแพงหน่อย ใครที่ไหนจะมาสนใจ
-         สินค้าเรามีความสำคัญสำหรับลูกค้าหรือเปล่า
แน่นอนว่าลูกค้าเราก็ซื้อของจากเราไปผลิตของขายของเค้าอีกทีนึง (ไม่ได้ซื้อไปทิ้งทะเล) ดังนั้น ถ้าสินค้าของเรามีส่วนชี้เป็นชี้ตายเรื่องคุณภาพหรือความน่าเชื่อถือของสินค้าของลูกค้า(งงมะ) ถึงราคาเราจะแพงไปหน่อย แต่ถ้าทำให้สินค้าของลูกค้าดูดีมีคุณภาพ มันก็โอเค
b) bargaining power คุณลูกค้ามีอำนาจในการต่อรองหรือเปล่า
ถึงคุณลูกค้าจะสนใจเรื่องราคาและยอมลงทุนลงแรงต่อราคาหรือหาเจ้าที่ให้ถูกที่สุด แต่ลูกค้าจะมีอำนาจพอที่จะต่อรองกับเราหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับว่า
-         มีคนขายของเหมือนเราเยอะหรือเปล่า
-         ลูกค้าซื้อของเราเยอะๆหรือเปล่า (ลูกค้าสำคัญกับรายได้ของเราแค่ไหน)
-         มีสินค้าอื่นที่ใช้แทนสินค้าเราหรือเปล่า
-         switching cost ของลูกค้าสูงหรือเปล่า
-         สินค้าเรามีความสำคัญสำหรับลูกค้าหรือเปล่า

ตัวอย่างในหนังสือพูดถึงนักบินกับสายการบิน โดยมองว่าสายการบินเป็นลูกค้า ในกรณีนี้ นักบินโคตรสำคัญสำหรับสายการบินมาก (ไม่มีนักบินเครื่องบินก็บินไม่ได้ นักบินห่วยๆก็อันตราย เครื่องบินตกเสียชื่อเสียงและจะวุ่นวายกันไปหมด) ดังนั้น นักบินสำคัญกับสายการบินมาก ดังนั้น นักบินมีอำนาจต่อรองสูงกว่า ดังนั้น นักบินได้เงินเยอะ - -;
จบเรื่อง five force และ industry analysis แค่นี้ อย่างงว่า อ้าว แล้วอันสุดท้ายเรื่องอำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์หายไปไหน เพราะจะเป็นเรื่องระหว่างลูกค้า.vs.บริษัท หรือบริษัท.vs.ซัพพลายเออร์มันก็ครือๆกันนั่นแล
เสริมเรื่องจุดอ่อนของ industry analysis อีกนิดนึงว่า การตีกรอบว่า industry นั้นเอาแค่ไหนมีความสำคัญมาก เพราะจะมีผลกับผู้เล่นในตลาดว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าตีกรอบ industry ผิด ผลการวิเคราะห์ก็อาจจะแตกต่างออกไปเลย
เดี๋ยวคราวหน้ามาต่อเรื่อง Competitive Positioning ครับ


หลังจากตอนที่แล้วเราสรุปกันในส่วนแรกของ Strategy Analysis ว่าด้วยเรื่อง Industry Analysis ซึ่งใช้ Five Forces ในการวิเคราะห์แล้ว ครั้งนี้เราจะมาต่อกันในส่วนที่สองของ Strategy Analysis ว่าด้วยเรื่อง Competitive Positioning กัน

Competitive Positioning พูดภาษาบ้านๆคือ เมื่อบริษัทเลือกสนามแข่ง(ตลาดที่จะทำธุรกิจ)แล้ว ก็ต้องมาคิดว่าจะแข่งกับคนอื่น(ทำธุรกิจ)ยังไง บริษัทจะแข่งกับเจ้าอื่นๆในตลาดได้ด้วยวิธีหลักๆ วิธีคือ แข่งเรื่องราคา(cost leadershipหรือ แข่งเรื่องคุณภาพ(differentiation) อันนี้เข้าใจไม่ยาก เปรียบเทียบระหว่างแม็คโคร/โลตัสกับพารากอน/เอ็มโพเรียมก็ได้ กลุ่มแรกจะแข่งเรื่องราคา ทำยังไงก็ได้ให้ขายของได้ในราคาต่ำที่สุด ส่วนกลุ่มหลังจะแข่งเรื่องคุณภาพและบริการดีเลิศ

ทีนี้มันมีคำศัพท์สองคำที่เกี่ยวข้อง คำแรกคือ core competencies คือสิ่งที่เรามีและเจ๋งกว่าคนอื่น(ไม่ว่าจะจับต้องได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่) ส่วนคำที่สองคือ value chain ซึ่งหมายถึงสิ่งที่เราทำในธุรกิจ 

การที่บริษัทจะมี competitive advantage (หรือพูดง่ายๆคือแข่งกับคนอื่นได้) มีเงื่อนไขหลักๆ ข้อคือ
1.       core competency ของบริษัทเป็น key success factor ของกลยุทธที่บริษัทเลือกหรือเปล่า
พูดง่ายๆคือ อะไรที่บริษัทคิดว่าเจ๋งน่ะ มันสำคัญหรือเปล่า ยกตัวอย่างลอยๆเช่น ถ้าบริษัทเลือกที่จะแข่งด้านราคา แต่จุดเด่นของบริษัทคือการให้บริการที่เป็นเลิศ อันนี้ก็ไม่matchกัน เจ๋งไปก็เท่านั้น แต่ถ้าจุดเด่นของบริษัทคือมีแหล่งซื้อวัตถุดิบราคาถูก มีวิธีการผลิตขั้นเทพที่ทำให้ต้นทุนถูกมว้ากกกกก อันนี้โอเค เพราะมันทำให้ต้นทุนของบริษัทต่ำ ทำให้ขายของที่ราคาถูกๆได้
2.       value chain ของบริษัทจำเป็นสำหรับกลยุทธที่บริษัทเลือกหรือเปล่า
พูดง่ายๆคือ อะไรที่บริษัททำนั้นสำคัญแค่ไหน ยกตัวอย่างลอยๆเหมือนข้อแรกเช่น ถ้าบริษัทเลือกที่จะแข่งด้านคุณภาพ แต่กลับเสียเวลาไปกับการต่อราคา หาวัตถุดิบถูกๆ นี่ก็ไม่ใช่ละ แต่ถ้าเอาเวลาไปปรับปรุงเรื่องคุณภาพสินค้าหรืออบรมพนักงานให้พูดจาเพราะๆ อันนี้โอเค
3.       core competency และ value chain ของบริษัทเลียนแบบได้ง่ายหรือเปล่า
ถ้ามันเลียนแบบได้ง่าย เดี๋ยวคนอื่นก็ทำตาม สุดท้ายมันก็จะเหมือนๆกันทุกเจ้า สิ่งที่เราเจ๋งเราดีก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆไป ใครๆก็ทำได้
ถ้ามันเลียนแบบได้ง่าย เดี๋ยวคนอื่นก็ทำตาม สุดท้ายมันก็จะเหมือนๆกันทุกเจ้า สิ่งที่เราเจ๋งเราดีก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆไป ใครๆก็ทำได้

<< โหมดเพ้อเจ้อ >>
อุปมาว่าถ้าหนุ่มนายหนึ่งจะจีบหญิงนางหนึ่งแล้วไซร้
1.      core competency ของฮีอาจจะเป็นความหน้าหล่อเกาหลี ขาวใสไร้สิวฝ้า และถ้าหญิงนางนั้นเป็นสาวน้อยบ้านักร้องเกาหลีที่แดนซ์กระจาย ความหล่อของฮีก็จะแมตช์กับ key success factor ซึ่งจะส่งผลให้ฮีมีโอกาสจีบหญิงนางนั้นติดได้ แต่ถ้าหญิงนางนั้นเกิดชอบแบบบ้านๆ ดิบเถื่อน ตบจูบๆ นั่นก็หมายความว่า core competency กับ key success factor ไม่แมตช์กัน โอกาสจีบติดก็น้อย
2.      หนุ่มนายนั้นอาจเลือกไปเข้าคลาสแดนซ์เพื่อให้โดนใจหญิงนางนั้นมากขึ้นไปอีก แสดงว่า value chain ของหนุ่มนายนั้นมีความสำคัญต่อ competitive advantageแต่ถ้าหนุ่มนายนั้นรักการเรียน สมัครเรียนอ.อุ๊ อ.ปุ๊ เดอะเบรน ล้านแปด value change นั้นอาจจะไม่มีผลต่อ competitive advantage ซักเท่าไหร่ (แต่มันสำคัญกับชีวิตน้องมากกว่ามั้ย)
3.      แต่ปรากฏว่า ใครๆก็เรียนแดนซ์กันได้ง่ายๆ เต้นคัฟเวอร์กันกระจาย แสดงว่า core competency ของหนุ่มนายนั้นเลียนแบบได้ไม่ยาก อันนี้คู่แข่งอาจจะตามทันได้ หรือบางทีคู่แข่งอาจจะไปทำหน้าที่เกาหลีให้เกาหลียิ่งกว่าได้

ก่อนจะจบเรื่อง competitive analysis ก็ทิ้งท้ายไว้ ประเด็นคือ
1.       ถึงบริษัทจะเลือกแข่งด้านราคาแต่สินค้าก็ต้องมีคุณภาพในระดับนึง สินค้าราคาถูกเหมือนขี้แต่ใช้สามวันเจ๊งนี่ก็คงขายไม่ออก ในทางกลับกัน สินค้าคุณภาพเลิศเลอ แต่ราคาแพงเหมือนโคตรทอง ก็คงขายให้คนทั่วไปไม่ได้เหมือนกัน

2.       มันมีบางเคสที่บริษัทไม่เลือกระหว่างราคากับคุณภาพก็ได้ คือสามารถผลิตสินค้าคุณภาพดีเลิศ+บริการชั้นเยี่ยมในราคาที่โคตรถูก ตัวอย่างเช่นรถโตโยต้าคุณภาพดี(เค้าว่ากันว่านะ)ราคาถูก หรือคอมพิวเตอร์เดล(ลองใช้แล้ว คุณภาพโอเคนะ)ราคาก็ไม่แพง ดังนั้นอย่าไปฝังใจว่าจะต้องเลือกเสมอไป

มาต่อกันในส่วนสุดท้ายของ Strategy Analysis ว่าด้วยเรื่อง Corporate Strategy เลยละกันครับ นี่คือการที่บริษัทเลือกว่า
ก. ฉันจะทำทุกสิ่งอย่างเอง(ภายในกลุ่มบริษัทเดียวกัน)ดีกว่าหรือ
ข. ฉันจะว่าจ้างบริษัทอื่น(ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน)มาทำให้ดีกว่า

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัท(หรือกลุ่มบริษัทก็ได้)ผลิตสินค้าเอง ขายเอง ให้บริการหลังการขายเองด้วย อันนี้คือเลือกที่จะทำเองตั้งแต่ต้นจนจบ แต่บริษัทอาจจะคิดแล้วว่า เออ จ้างคนอื่นมาให้บริการหลังการขายดีกว่านะ ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับลูกค้าขี้วีน ดังนั้น บริษัทก็อาจจะทำแค่ผลิต+ขาย แล้วจ้างบริษัทอื่นในตลาดมาจัดการเรื่องการให้บริการหลังการขายก็ได้

การทำธุรกิจกันเองภายในกลุ่มจะดีกว่า ก็ในกรณีที่มีต้นทุน(transaction cost)ระหว่างกันสูง เช่น
- การบังคับให้ทำตามกฏหมายหรือสัญญาทำได้ยาก
- เข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้ยาก
- ขาดความมั่นใจในคุณภาพของสินค้า/บริการของอีกฝ่ายนึง

ในกรณีต่างๆเหล่านี้ การทำธุรกิจกันเองในกลุ่มจะสามารถบังคับกะเกณฑ์เรื่องที่จำเป็นต่างๆได้โดยอาศัยอำนาจจากส่วนกลาง แต่ทีนี้ข้อเสียมันก็มี คือการที่บริษัทในกลุ่มทำธุรกิจที่หลากหลายมากเกินไป บางครั้งมันก็ขาดซึ่ง know-how เฉพาะด้านสำหรับแต่ละบริษัท (โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่อำนาจการตัดสินใจรวมศูนย์มากๆ)

แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าโทรมาภายในสิบนาที ปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยโครงสร้างแบบกระจายอำนาจ แต่ทีนี้มันก็จะไปหักล้างข้อดีของการรวมศูนย์อำนาจอีก (พอกระจายอำนาจมากๆเข้า แต่ละบริษัทในกลุ่มก็อาจจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของบริษัทเองมากกว่าที่จะมองภาพรวมของทั้งกลุ่มบริษัท) 
เป็นอันว่าจบบทที่สองแต่เพียงเท่านี้ เจอกันครั้งหน้าที่บทที่สามเลยครับ

สรุปความจากหนังสือ Business Analysis & Valuation บทที่ 1


ชื่อเต็มๆคือ Business Analysis & Valuation Using Financial Statements ตำราเทพของอาจารย์Palepu, Healy และ Bernard

เล่มที่อ่านเป็น Second Edition ซึ่งมันก็เก่าประมาณนึงแล้ว (ตอนนี้มันปาไปจะ 5th Edition แล้ว ถ้ามีPDFก็ขอด้วยนะ จุ้บๆ) เนื้อหาอาจจะไม่อัพเดทบ้างอะไรบ้าง คนสรุปก็ไม่ได้เก่งบัญชี ผิดพลาดคลาดเคลื่อนประการใดก็ช่วยชี้แนะด้วยนะคร้าบ

ไล่ไปทีละบทนะครับ สามารถทำได้จนจบหรือเปล่านี่ไม่สัญญา - -;

เริ่มจากบทที่ 1 และรูปที่ 1

รูปนี้อธิบายภาพกว้างๆๆๆๆของตลาดทุนซึ่งประกอบด้วยภาคครัวเรือนที่มีเงินเก็บ(savings)และอยากนำไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทน และภาคธุรกิจที่มีไอเดียเจ๋งๆ(business ideas)และอยากได้เงินมาลงทุน ตัวกลางที่เชื่อมสองส่วนนี้เข้าด้วยกันแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือตัวกลางด้านไฟแนนซ์(financial intermediaries)ที่นำเงินจากภาคครัวเรือนไปให้ภาคธุรกิจลงทุน เช่นพวกธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวมต่างๆ บริษัทประกันทั้งหลาย ส่วนประเภทที่สองคือตัวกลางด้านข้อมูล(information intermediaries) ซึ่งจะนำเอาข้อมูลต่างๆของภาคธุรกิจ(อันมีงบการเงินเป็นหลัก)มาย่อยๆๆแล้วส่งต่อให้ภาคครัวเรือน เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าควรเอาเงินเก็บอันทรงคุณค่าไปลงทุนที่ไหนดี ตัวกลางในกลุ่มนี้ก็เช่นพวกหนังสือพิมพ์หุ้น นิตยสารการลงทุนต่างๆ พวกผู้ตรวจบัญชีทั้งหลาย และพวกเรตติ้งเอเจนซี่

รูปต่อมาแสดงที่มาที่ไปว่ากว่าจะได้ออกมาเป็นงบการเงิน ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ฝั่งซ้ายมือเป็นปัจจัยจากนอกบริษัท ฝั่งขวามือเป็นปัจจัยภายในบริษัทเอง ตรงกลางคือส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบการเงินโดยตรง ไล่กันเป็นลำดับ เริ่มจาก
·        บนซ้ายคือ business environment คือสภาพแวดล้อมที่บริษัททำธุรกิจอยู่ เช่นพวก ตลาดแรงงาน(หาควายคน) ตลาดทุน(หาเงิน) ตลาดสินค้า(ขายของ) กฏเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ
·        บนขวาคือ business strategy คือกลยุทธของบริษัทว่าจะทำธุรกิจยังไงดี ขายถูกขายแพง ขายหลายอย่าง ขายอย่างเดียว ขายคนรวย ขายคนจน ขายคนแปลกๆ เป็นต้น
·        business environment และ business strategy จะส่งผลออกมาว่า บริษัทจะทำกิจกรรม(ซึ่งไม่ใช่กิจกรรมเข้าจังหวะ)อะไรบ้างในการทำธุรกิจ
·        ล่างซ้ายคือ accounting environment ว่าคือสภาพแวดล้อมในทางบัญชีว่าผู้คนข้างนอกที่จะเอางบการเงินไปใช้มีใครบ้าง(มั้ง) โดยมีตัวละครตั้งแต่นักลงทุนในตลาดทุน คู่สัญญาของบริษัท กรมสรรพากร ผู้ตรวจสอบบัญชี เป็นต้น
·        ล่างขวาคือ accounting strategy กลยุทธการลงบัญชีของบริษัทว่าจะเลือกลงบัญชีแบบไหน เช่น ประมาณการเท่าไหร่ดี(มันมีตัวเลขต้องประมาณการในงบการเงินหลายตัวอยู่) หมายเหตุงบจะละเอียดไปเลยหรือแค่พอเป็นพิธี(เดี๋ยวเค้าจะรู้เยอะ) เป็นต้น
·        accounting environment  และ accounting strategy จะส่งผลกับระบบการออกงบการเงินของบริษัท(accounting system ที่อยู่ตรงกลาง) ว่าจะเลือกเอา business activity ไหน วัดอย่างไร สรุปเป็นผลรวมหรือไม่อย่างไรระดับไหน แล้วคลอดออกมาเป็นงบการเงิน(financial statement)ทุกสามเดือนหกเดือนปีนึงให้เราๆท่านๆได้ปวดหัววิเคราะห์กัน

ลักษณะเด่นๆของ accounting system 3 เรื่องคือ
·        ใช้เกณฑ์คงค้าง(accrual) แทนเกณฑ์เงินสด(actual)
พูดง่ายๆคือ ตัวเลขที่เห็นในงบการเงิน(โดยเฉพาะงบกำไรขาดทุน)ไม่ได้เท่ากันเป๊ะกับเงินสดที่เข้าจริงออกจริง
·        มีมาตรฐานการบัญชีคอยบีบคออยู่
ซึ่งข้อดีคืองบการเงินของบริษัทต่างๆก็จะได้มาตรฐาน ไม่มั่วไปคนละแบบสองแบบ(แต่มั่วๆกันไปในแบบเดียวกัน 555) แต่ข้อเสียคือ บางครั้งงบการเงินก็ไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงของบริษัทได้100%
·        แต่บริษัทก็มีทางให้เลือกลงบัญชีได้(ภายในกรอบของมาตรฐานการบัญชี)
ซึ่งก็ต้องวัดใจกันเอาเองว่า เค้าจะเลือกวิธีลงบัญชีที่เหมาะสมมากน้อยแค่ไหน
ต่อมา อันนี้รูปสุดท้ายแล้ว รูปนี้คือภาพใหญ่ของการวิเคราะห์งบการเงิน อันประกอบด้วยสิ่งที่เราจะนำมาวิเคราะห์ซึ่งแน่นอนว่ามีงบการเงินเป็นหลัก และข้อมูลประกอบอื่นๆทั้งที่ได้จากวงนอกและวงใน และบวกกับจุดประสงค์ที่เราจะวิเคราะห์(ในฐานะนักลงทุน เจ้าหนี้ ผู้ตรวจบัญชี หรือกรมสรรพากร เป็นต้น) จากนั้น เมื่อเราได้หมูมาอยู่บนเขียง(คือมีงบการเงินแล้ว) และตัดสินใจแล้วว่าจะทำอะไรกินดี(รู้จุดประสงค์ในการวิเคราะห์)แล้ว เราก็เริ่มจาก
·        business strategy analysis คือรู้จักบริษัทก่อนว่าทำธุรกิจอะไรยังไง ความเสี่ยงมีอะไรบ้าง key success factor มีอะไรบ้าง ในตลาดนั้นใครใหญ่ แล้วบริษัทอยู่ตรงไหน
·        accounting analysis คือรู้จักงบการเงินว่าคุณภาพมันดีมันเลวแค่ไหน ตัวเลขไหนต้องระวัง ตัวเลขไหนที่เราต้องคำนวณใหม่
·        financial analysis คือรู้อดีตและปัจจุบันว่ามันดีมันเลวแค่ไหน ดีขึ้นหรือแย่ลง
·        prospect analysis คือเดาอนาคตว่าแล้วมันจะไปยังไงต่อ
ผลที่ได้จาก business strategy analysis จะเป็นข้อมูลที่บอกให้เรารู้ว่า ในงบการเงินต้องระวังอะไร ต้องเน้นตัวเลขไหน แล้วตัวเลขในงบที่เห็นมันดีหรือเลว มันปกติหรือไม่ปกติ แล้วเราจะเอาอนาคตยังไงให้ใกล้เคียง

บทที่ 1 ก็จบประมาณนี้แล




Estimating Terminal Value


ESTIMATING TERMINAL VALUE

Introduction

The terminal value is the value of the project’s expected cash flow beyond the explicit forecast horizon. An estimate of terminal value is critical in financial modelling because it accounts for a large percentage of the project value in a discounted cash flow valuation. This tutorial focuses on ways in which terminal value can be calculated in a project finance model.
In our previous tutorial titled Formula to Calculate NPV in Excel we discussed how NPV can be used to calculate the value of a project / investment based on future cash flows. A firm or project potentially has infinite life and its value is hence the NPV of future cash flows forever.
However, forecasting results beyond certain periods is impractical and exposes such projections to a variety of risks. This limits their validity, with great uncertainty involved in predicting the project revenue / cost components, industry or macroeconomic conditions beyond a few years.
To capture the value at the end of forecasting period, a terminal value is included. Terminal value allows for the inclusion of the value of future cash flows occurring beyond a several year projection period while satisfactorily mitigating many of the problems of valuing such project cash flows.
A high-quality estimate of terminal value is critical because it often accounts for a large percentage of the total value of the project in a discounted cash flow valuation. As a result, financial analysts and modellers should be familiar with the mechanics of terminal value and how it is calculated in order to ensure an accurate financial modelling and valuation exercise.
This tutorial with the accompanied excel workbook illustrates various ways in which terminal value can be calculated.

Method to calculate Terminal Value

Three methods will be discussed in this tutorial
  • Multiple EBITDA approach
  • Perpetuity approach
  • Perpetuity with Growth approach
In practice, academics tend to use the Perpetuity Growth model, while project financiers favour the Exit Multiple approach.
Ultimately, these methods are two different ways of saying the same thing. For both terminal value approaches it is essential to use a range of appropriate discount rates, the multiples and perpetuity growth rates in order to establish a functional valuation range.
Multiple EBITDA approach
The Multiple EBITDA approach measures the firm value that is the value of the business operations. In calculating enterprise value, only the operational value of the business is included. The formula to calculate the terminal value is shown below.

EBITDA t = EBITDA at the last year of projected period
EBITDA multiple = EBITDA multiplier (x)
The Present Value of the Terminal Value is then added to the PV of the free cash flows in the projection period to arrive at an implied firm value.
A publicly-traded comparable company multiples is used in the calculation. This method is the easiest approach but depending on the purposes of the valuation, the estimated EBITDA multiple may not provide an appropriate reference range.
There are some variations of multiple used in the terminal multiple approaches:
  • P/E multiple
  • Market to Book multiple
  • Price to Revenue multiple
  • EBIT multiple
  • Multiple EBITDA approach
Perpetuity Growth approach
The Perpetuity Growth approach assumes that free cash flow will continue to grow at a constant rate into perpetuity. The Terminal Value can be estimated using this formula.

FCF = Free cash flow @ the last year of projected period
r = Discount rate (Cost of Equity or Cost of Capital)
g = Expected growth rate (%)
What growth rate do we use when modelling? The constant growth rate is called a stable growth rate. While past growth is not always a reliable indicator of future growth, there is a correlation between current growth and future growth. A project growing at 10% currently, probably has higher growth and a longer expected growth period than one growing at 5% a year now.
Estimation of the growth rate used in this approach makes it challenging because inaccuracy in the assumption can provide an improper value. Hence, some analysts sometimes drop the growth rate in the formula to arrive at a more conservative terminal value.

Modelling Terminal Value

For illustration on how the Terminal Value is estimated and used for valuation purpose in a project finance model, we have prepared an Excel workbook. The example assumes that a project has 12-month constructions and quarterly cash flow projections of 10 years. Three methods are demonstrated to estimate the Terminal Value. The assumptions are depicted in the screenshot below.

Screenshot 1: Inputs page
In all methods, we need to establish the EBITDA or Free cash flow at the last year of the projected period. The easiest way to do this is perhaps by constructing a simple binary
(1, 0) flag.
Screenshot 2: Constructing binary flag for Operations end
The terminal value calculation is very straightforward. Various methods of calculating the terminal value are shown in the screenshots below.

Screenshot 3: Multiple EBITDA approach

Screenshot 4: Perpetuity Growth approach
The final step is to add the terminal value into the project cash flow before calculating the NPV. In this example it is assumed that the Perpetuity approach is selected.

Screenshot 5: Project Valuation

Terminal Value modelling considerations

Few considerations in calculating terminal value in project finance modelling:
  • Carefully establish the cash flow or EBITDA at the last year of the projected period.
    The usual mistake is to capture the cash flow falls in the last quarter / month instead of summing up those in the last year of projected period (refer to Screenshot 2 and 3).
  • Reminded to add the terminal value into the project cash flow before calculating the NPV.
    The project valuation does not stop at a terminal value calculation, Remember to add the calculated terminal value into the project cashflow for NPV calculations such as illustrated in Screenshot 5.