วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรุปสาระสำคัญของงานสัมมนา10ปี ThaiVI

ได้มุมคิดที่มีประโยชน์มากพอควรทีเดียวครับ เห็นแชร์กันในเพจอื่น
อยากให้เพื่อนๆนักลงทุนได้อ่านกันบ้างครับ^^


สรุปสาระสำคัญของงานสัมมนา10ปี ThaiVI โดยคุณ earthcu

เนื่องด้วยมีโอกาสได้ไปร่วมงาน 10 ปี Thaivi 60 ปี ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปูชะนียาจารย์
วงการตลาดทุนไทยในวันที่ 19 สิงหาคม จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครี่งนี้บางส่วน
เผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนักลงทุนบางท่านที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ

ช่วงสุดยอดเจาะแก่น vi สายดำ
วิทยากรรับเชิญ
1.นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี
2.คุณประชา ดำรงสุทธิพงศ์

1.Case Study DCC (ในอดีต)
ประเด็นที่น่าสนใจในการลงทุนในช่วงวิกฤติ Sub Prime
-ปลายปี 51 เกิด Sub Prime แต่ยอดขายกระเบื้องของ DCC ยังไม่กระทบ แถมยอดกลับดีขึ้น
-Dividend Yield ณ ตอนนั้นคิดเป็นประมาณ 10%
-ราคาน้ำมันที่คิดเป็นต้นทุน 30-40% ของบริษัทมีราคาที่ลดลง
-Estimate Earning ณ ตอนนั้นคิดได้ประมาณ 1.25 Baht ในขณะที่ ราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 10 บาท

2.คุณสมบัติหลักข้อนึงของการเลือกหุ้นคือหุ้นที่มีบางอย่างที่บริษัทอื่นเลียนแบบไม่ได้,มีเจ้าเดียว (ไม่มีคู่แข่ง)

3.วิธีการอย่างนึงที่ใช้ในการเลือกหุ้น คือการหาข้อมูลบางอย่างจากสถานที่ของบริษัทนั้นๆ ทำให้เรา
อาจจะทราบข้อมูลบางอย่างที่นักวิเคราะห์หรือนักลงทุนรายอื่นอาจจะไม่ทราบเช่น ได้ทราบว่าจะมีการ
ปรับราคาค่าใช้บริการของโรงพยาบาลจากป้ายประกาศในโรงพยาบาล ทำให้เราสามารถคาดการณ์ผล
กำไรที่อาจจะเพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลนั้นๆ

4.ข้อสำคัญอย่างนึงสำหรับการเลือกหุ้นคือการดู Risk/Reward Ratio โดยเราควรที่จะเลือกลงทุนใน
กรณีที่ โอกาสผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยงของการลงทุน

5.นักลงทุนควรจะฝึกเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองในอดีตเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Case ลักษณะ
เดียวกันอีกในอนาคต

6.ข้อสำคัญอย่างนึงในการเลือกหุ้นคือการมองศักยภาพของธุรกิจให้ออกว่าในอนาคตเช่น 5 ปี- 10ปี
ข้างหน้าธุรกิจอย่างนี้จะสามารถขยายได้เพิ่มอีกขนาดไหน โดยอาจจะศึกษาจาก Case Study ในต่าง
ประเทศเป็นต้น

7.Short Term PainLong Term Gain ระยะสั้นเราอาจจะเจ็บปวดจากราคาหุ้นแต่ถ้าถือหุ้นในระยะ
ยาวเราจะได้รับกำไรจากการลงทุนถ้าเราเลือกบริษัทที่ถูกต้อง

8.Key สำคัญอย่างนึงในการเลือกหุ้นคือต้องหา Value Driver ของบริษัทให้ได้ ว่าบริษัทนี้นั้นมีตัว
อะไรที่จะผลักดันที่จะทำให้คนเห็นคุณค่าของธุรกิจนั้น

9.Case Study หุ้น BGH (ในอดีต)
ประเด็นที่น่าสนใจในการลงทุนในช่วงวิกฤติ Sub Prime
-Mega Trend Aging Society
-เป็นโรงพยาบาลที่มี Brand ที่ดี
-Q1 2010 บริษัทกำไรโต 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน
-ก่อนเกิดวิกฤติ P/E Ratio ของบริษัทเคยสามารถขึ้นไปถึง 40 เท่า ในขณะที่ช่วง Sub Prime รายได้โต 13% แต่กำไรสามารถโตได้ถึง 50% ซึ่งพอ Estimate EPS จะได้ 1.8-2 บาท แต่ราคา
หุ้นในเวลานั้นอยู่ที่ 25 บาท คิดเป็น P/E ประมาณ 14-15 เท่า

-Quality of Earning ของบริษัทดีเนื่องจากพอคิด Free Cash Flow ของบริษัทแล้วได้ถึงประมาณ2.5 บาท คิดเป็น Price/FCF แค่ 10 เท่า

-ณ ตอนนั้นค่าเสื่อมบริษัทคิดเป็น 10% ของรายได้ เทียบกับ BH และ BCH ที่คิดเป็นประมาณ 5% ของรายได้ทำให้มองว่าผ่านการลงทุนที่หนักๆมาแล้วรวมไปถึง Occupy Rate ของโรง
พยาบาลที่น้อยกว่าถ้าเทียบกับ BH และ BCH

-เมื่อลอง Check ประวัติ Shareholder ย้อนหลัง 4-5 ปีพบว่าเจ้าของมีการซื้อหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

10.ธุรกิจที่มี CAPEX สูงๆนั้นเมื่อรายได้เริ่มที่จะ Cover กับ Fix Cost นั้นจะเป็นจุดที่น่าสนใจเพราะว่า
รายได้ที่มากกว่า Fix cost เท่าไรก็จะทำให้กำไรโตในอัตราที่สูง

11.เวลามองบริษัทควรจะมองในหลายๆมุม เช่น P/E,P/S, EV/EBITDA เพื่อจะทำให้เราสามารถเข้าใจ
การประเมินมูลค่าบริษัทได้ดียิ่งขึ้น

12.เรียนรู้จากต้นแบบของบริษัทที่ประสบความสำเร็จเพื่อให้เข้าใจในรายละเอียดต่างๆที่จะทำให้
บริษัทประสบความสำเร็จแล้วนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในการเลือกบริษัทอื่นๆที่จะใช้ในการลงทุน

13.ข้อมูลอย่างนึงที่น่าสนใจในการเลือกบริษัทคือการที่บริษัทนั้นๆมีผู้บริหารที่ไม่ใช่เจ้าของซื้อหุ้น
เป็นจำนวนหลายคนเพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณอย่างนึงว่าบริษัทกำลังที่จะมีพัฒนาการบางอย่างใน
ทางที่ดี

ส่วนประเด็นที่ผู้บริหารขายหุ้นนั้นเราสามารถที่จะสนใจได้แต่ไม่ควรมองว่าเป็นประเด็นใหญ่เพราะอาจ
จะเกิดจากผู้บริหารท่านนั้นต้องการที่จะใช้เงินก็เป็นไปได้

14.เราไม่ควรที่จะเกี่ยงกับราคาหุ้นเพียงเล็กน้อยเช่นซื้อแพงอีก 1-2 บาท เทียบกับศักยภาพของ
บริษัทที่อาจจะเพิ่มอีก 10 ๆบาท

15.ในปัจจุบันมีข่าวที่เกี่ยวกับบริษัทเยอะมาก ซึ่งอาจจะเป็นข่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่มีความ
หมายและข่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีความหมาย ซึ่งเราควรจะสนใจถ้าข่าวนั้นสำคัญกับ
Cash Flow ของบริษัท, Fundamental บริษัท

16.ในการศึกษาบริษัทเป็นครั้งแรกข้อมูล 56-1 เป็นอะไรที่ควรจะศึกษาเพื่อให้ทราบรายละเอียดที่
เกี่ยวข้องกับบริษัทอาทิเช่น โครงสร้างรายได้, ปัจจัยความเสี่ยง, Asset ต่างๆที่มี เพื่อให้เราสามารถ
เข้าใจกับบริษัทได้ดีขึ้น รวมไปถึงจะทำให้เวลาอ่านข่าวของบริษัทนั้น สามารถพิจารณาได้ว่าไป
กระทบกับปัจจัยที่สำคัญของบริษัทหรือไม่

17.การลงทุนแบบนึง คือการลงทุนในสถานการณ์พิเศษ Special Situation ซึ่งเราเองควรจะลงทุนใน
ระยะที่ไม่ยาวจนกระทั่งนานไป เช่น กรณีนโยบายรถคันแรกนั้น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับรถยนต์และ
leasing ได้ประโยชน์ แต่ก็เป็นแค่เพียงระยะสั้นๆ เป็นต้น

18.ถ้ายังไม่มีโอกาสที่ดี เราก็ควรที่จะรอโอกาสโดยการพร้อมที่จะถือเงินสดไว้บ้าง

19.ข้อควรระวังในการใช้ Margin คือควรที่จะใช้เฉพาะกรณีที่เราพิจารณาอย่างดีแล้วว่ามีโอกาสที่จะ
ได้รับผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยง

20.จุดที่ใช้ในการขาย เช่นขายเมื่อถึงราคาที่เหมาะสม หรือขายเมื่อพบหุ้นบริษัทอื่นที่น่าสนใจกว่า

21.เราควรที่จะมี Style ในการลงทุนเป็นของตัวเอง โดยเราควรที่วิเคราะห์จากจุดแข็ง จุดอ่อนของตัว
เราเอง

22.ข้อสำคัญอย่างนึงในหารลงทุนคือการที่ลงทุนแล้วมีความสุข ถ้าลงทุนแล้วไม่มีความสุขจากการลง
ทุนนั้นๆก็ควรที่จะหลีกเลี่ยง

23.สิ่งที่สำคัญอย่างนึงคือการดูสมดุลระหว่างคุณภาพกิจการกับตัวเลขทางการเงิน ซึ่งในบางท่านนั้น
อาจจะให้น้ำหนักคุณภาพกิจการ 60-65% ขณะที่ตัวเลขทางการเงิน 35 %

24.หุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดี
1.)Growth Stock โดยควรที่จะมองหาหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในอัตราที่สูงในระยะเวลาหลายปีข้างหน้า
2.)Turnaround Stock มีความยากในระดับนึงเพราะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งเนื่องจากโอกาสในการ
Turnaround จริงไม่เยอะ
3.)Cylical Stock มีความยากค่อนข้างสูงเพราะต้องเข้าใจใน Cycle ของธุรกิจนั้นๆ

25.ข้อได้เปรียบของนักลงทุนรายย่อยเมื่อเทียบกับกองทุน 1.)ไม่จำเป็นต้องมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการที่
ไม่สามารถถือหุ้นนั้นๆเป็น % ที่สูงของ Port 2.)Time Frame ของการลงทุนไม่จำกัดเมื่อเทียบกับ
กองทุนที่มักมองแค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ 1-2 ปีเป็นต้น

26.เราควรที่จะมีระยะเวลาในการที่จะวัดผลความสำเร็จในการลงทุนในระยะเวลาที่นานพอเช่น
มากกว่า 10,20 ปี เพราะที่ผ่านมานักลงทุนบางท่านอาจจะยังไม่เคยผ่านช่วงวิกฤติของเศรษฐกิจ

27.เมื่อมีวิกฤติเศรษฐกิจนั้นหุ้นอย่างอสังหาและรถยนต์นั้น มีโอกาสที่จะกระทบค่อนข้างมากซึ่งเรา
ควรที่จะซื้อหุ้นบริษัทเหล่านั้นเมิ่อถึงจุดที่ต่ำแล้วเริ่มมี positive sign

28.ซื้อเพราะเหตุผลใด ขายเพราะเหตุผลนั้น

29.จงมี Independence Thinking มีความมั่นใจในตัวเองแต่ อย่ามากจนไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น
และอย่าน้อยจนกระทั่งฟังความเห็นของคนอื่นแล้วหวั่นไหวในการลงทุน

30.จงเป็น VI ใน Style ของตัวเอง เช่นมองบริษัทที่ under value เมื่อเทียบกับ Future Cash Flow

31.การเรียนรู้การลงทุนไม่มีทางลัด ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราควรที่จะมีวินัย, ต้องพยายาม
อดทน โดยมีคนเคยกล่าวไว้ว่าการที่คนเราจะประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างเราอาจจะต้องฝึกสิ่ง
นั้นๆเป็นระยะเวลา 10000 ชั่วโมงขึ้นไป

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์นิเวศน์ ท่านอาจารย์ไพบูลย์ รวมไปถึงคณะทำงานของการจัดงาน
ครั้งนี้ทุกท่านที่ได้จัดงานที่มีประโยชน์ต่อพวกเรา VI และต่อสังคม และขอขอบคุณ web thaivi
แหล่งคุณค่าของการเรียนรู้

CR. ThaiVI, คุณearthcu