วันนี้จะมาคุยเรื่องค่าเสื่อมราคากันสักหน่อย หลายคนคงรู้มาบ้างแล้ว แต่ผมคงไม่คุยแบบธรรมดาหรอกครับว่ามายังไง คำนวณอย่างไร การเป็นนักลงทุนผมว่าควรรู้ในอีกหลายมุมมากกว่า แบบที่แม้แต่นักบัญชีบางคนเองทำเป็น ลงบัญชีเป็น แต่ไม่เคยรู้เหตุผลที่มาที่ไปบางประเด็น
ค่าเสื่อมราคาเป็นรายการที่ถือเป็นค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน เป็นค่าใช้จ่ายที่ประมาณขึ้นเพื่อหักออกจากมูลค่าของสินทรัพย์ในรายการอาคาร เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ในมาตรฐานการบัญชีมีหลายวิธีที่อนุณาตให้ใช้คำนวณได้ แบ่งกว้างๆ ได้เป็น 3 กลุ่มคือ
- วิธีเส้นตรง Straight Line Method
- วิธีลดลง (Declining Method) ซึ่งแบ่งย่อยเป็น
2.1 Double Declining Method
2.2 Sum of the Year Digit Method
- Unit of Production Method
ในแต่ละวิธีนั้นคำนวณอย่างไร คิดอย่างไร ผมคิดว่าในฐานะนักลงทุนรู้หลักการและผลกระทบก็พอ เพื่อให้เข้าใจผลที่ได้รับ เพราะรายการนี้บางคนก็มองว่า แต่งได้ตุกติกได้ ความจริงก็อาจเป็นเช่นนั้น แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว การแต่งตัวเลขค่าเสื่อมราคานั้นบริษัทต้องชั่งใจ 2 ทางคือ ประโยชน์ทางภาษี ซึ่งจะประหยัดเงินสดจ่าย และกำไรสุทธิ เช่น กำไรก่อนหักค่าเสื่อมราคาและภาษี เท่ากับ 1,000 MB อัตราภาษีเท่ากับ 20% บริษัทมี PPE เท่ากับ 4,000 MB ถ้าค่าเสื่อมคิด 10% จะเป็นค่าใช้จ่าย 400 MB มี EBT 600 MB หลังหักภาษีจะมีกำไรสุทธิ 480 MB แต่ถ้าค่าเสื่อมคิด 20% จะเป็นค่าใช้จ่าย 800 MB มี EBT 200 MB หลังหักภาษีจะมีกำไรสุทธิ 160 MB
-การหักอัตราค่าเสื่อมต่ำ กำไรจะสูงกว่า และมูลค่าสินทรัพย์ก็จะสูงกว่า ROA ก็จะดีกว่า 480/3600 = 13.3%
การหักอัตราค่าเสื่อมสูงกว่า กำไรจะต่ำกว่า และมูลค่าสินทรัพย์ก็จะต่ำกว่า ROA ก็จะน้อยกว่า 160/3200 = 5.0%
-แต่ในแง่กระแสเงินสด การหักอัตราค่าเสื่อมต่ำ จะประหยัดเงินภาษีได้ 80 MB ส่วนการหักอัตราค่าเสื่อมสูงจะประหยัดเงินภาษีได้ 160 MB
-ในงบกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน การหักอัตราค่าเสื่อมต่ำจะบวกค่าเสื่อมในกำไรกลับ 400 MB กำไร 480 + 400 = 880 MB ส่วนกรณีการหักอัตราค่าเสื่อมสูงจะบวกค่าเสื่อมในกำไรกลับ 800 MB กำไร 160 + 800 = 960 MB
-ในการคำนวณอัตราส่วนที่เกี่ยวข้องเช่น QE การหักอัตราค่าเสื่อมต่ำจะได้ 880/480 = 1.83
- ส่วนการหักอัตราค่าเสื่อมสูง QE จะได้ 960/160 = 6.0 มีคุณภาพสูงกว่า ซึ่งก็มีเหตุมีผล เนื่องจากว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานจะต่างกัน 960-880 = 80 MB ซึ่งก็เป็นผลจาก tax shield = (800-400) x 20% = 80 MB
- ดังนั้นในกิจการจึงต้องเลือกว่า จะแสดงกำไรสูงๆ แต่กระแสเงินสดน้อยกว่า กับการมีกำไรแต่ไม่สูงมาก แต่กระเงินสดสูง การจะให้น้ำหนักใดขึ้นกับว่า ลักษณะอุตสาหกรรมใช้หรือต้องการสภาพคล่องมากกว่ากัน ในธุรกิจที่มีสภาพคล่องสูงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ก็มักเลือกแสดงกำไรสูงไว้ก่อน ส่วนธุรกิจที่ต้องการสภาพคล่องสูง อาจเลือกกระแสเงินสดมากกว่า
- แต่ข้อที่มักไม่คำนึงถึงกันเท่าไรคือ การตัดค่าเสื่อมต่ำหมายความว่ามูลค่าสินทรัพย์ PPE สุทธิ จะสูงกว่า ในภาวะปกติทั่วไปก็ดีกว่า แต่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แนวโน้มที่จะเกิดการด้อยค่าจะสูงมากกว่า เพราะในการด้อยค่ามูลค่าจากการใช้จะมีโอกาสลดลงต่ำกว่ามูลค่าบัญชี และราคาขายสินทรัพย์ก็อาจลดลงมากกว่า เมื่ออเทีบยกับธุรกิจที่ตัดค่าเสื่อมสูงมูลค่าทางบัญชีจะแสดงต่ำกว่า เช่น (จากตัวอย่าง) ถ้าตัด 10% สินทรัพย์ เท่ากับ 3600 MB ส่วนกรณีตัดที่ 20% สินทรัพย์ เท่ากับ 3200 MB แต่เนื่องจากการประมษณมูลค่าจากการใช้ ย่อมเท่ากันเพราะเป็นธุรกิจอันเดียวกัน สมมติได้ออกมา 3400 MB กรณที่แสดง 3600 จะเกิดด้อยค่าขึ้น 200 MB เป็นค่าใช้จ่ายในงวดนั้น ส่วนกรณีที่แสดง 3200 MB ไม่เกิดการด้อยค่า
-ดังนั้นการตัดค่าเสื่อมถ้าดูเพียงมิติปีต่อปี อาจจะสรุปเอาว่าตัดอัตราต่ำดีกว่า แต่ถ้าดูในหลายๆมิติ ดูระยะยาวๆ อาจจะไม่ใช่ก็ได้
-ในอีกมุมหนึ่ง ค่าเสื่อมราคาที่หักในแต่ละปีคือการสำรองกำไรหรือเงินสดในธุรกิจเพื่อลงทุนทดแทนในภายหลังจากที่สินทรัพย์นั้นหมดอายุและต้องซื้อทดแทน ธุรกิจก็จะมีงินสดเหลืออยู่ไปลงทุนทดแทนได้โดยไม่ต้องกู้เพิ่ม และจ่ายปันผลได้เต็มที่ เช่น
ปีที่ 0 PPE 4000 = E 4000
ปีที่ 1 cash 960 + PPE 3200 = E 4000 + 160 ค่าเสื่อม 800
ปีที่ 1 cash (960-160) + PPE 3200 = E 4000 + 160 – 160 จ่ายปันผล 100% 160 MB
ปีที่ 1 cash 800 + PPE 3200 = E 4000
ปีที่ 2 cash 1600 + PPE 2400 = E 4000
ปีที่ 3 cash 2400 + PPE 1600 = E 4000
ปีที่ 4 cash 3200 + PPE 800 = E 4000
ปีที่ 5 cash 4000 + PPE 0 = E 4000
สิ้นปีที่ 5 ต้องซื้อทดแทนพอดี และ PPE หมดอายุพอดี กิจการจะสะสมเงินซื้อทดแทนได้พอดี และดำเนินกิจการต่อไปได้ตามหลัก going concern การดำรงอยู่ต่อเนื่อง ถ้าหักน้อยปีละเพียง 400 จะสะสมได้ เพียงปีละ 400 เมื่อครบ 5 ปี จะมีงบดังนี้
ปีที่ 5 cash 2000 + PPE 2000 = E 4000 จ่ายปันผล 100% เท่ากัน
เนื่องจาก สินทรัพย์ PPE หมดค่าลงในปีที่ 5 จะขาดทุนทันที 2000 และต้องกู้เงินมาอีก 2000 จึงจะมีเงินซื้อทดแทนได้ จะเกิดผลด้านลบคือ ถ้าตัดน้อยกว่าที่ควรเป็นจริง นอกจากจะมีขาดทุนจากสินทรัพย์ (อาจเป็นการด้อยค่า) แล้ว กิจการยังต้องก่อหนี้เพิ่ม โดยรวมๆ แล้วไม่เป็นผลดีต่อกิจการในระยะยาว
-ดังนั้นการตัดในอัตราต่ำกว่าความจริงเพื่อสร้างกำไร กลับไม่เป็นผลดีระยะยาวกับกิจการ
-ส่วนวิธีในการตัดค่าเสื่อมราคา ในทางทฤษฎีทางบัญชีนั้น การเลือกวิธีใดนั้นมีเหตุผลที่แตกต่างกันคือ
-วิธี Straight Line เหมาะกับสินทรัพย์ที่เสื่อมมูลค่าตามระยะเวลาโดยตรง การหมดประโยชน์เกิดขึ้นเพราะเงื่อนเวลาโดยตรง และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมค่อนข้างคงที่ตลอดการงาน แนวคิดสำคัญเรื่องค่าเสื่อมนั้นเดิมในทางทฤษฎีทางบัญชีจะมองว่า ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมเมื่อรวมกันแต่ละปีจะคงที่ ถ้าค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาและซ่อมแซมค่อนข้างคงที่ ค่าเสื่อมราคาควรจะใช้วิธีเส้นตรง
-วิธีลดลง (Declining Method) วิธีนี้การคิดค่าเสื่อมจะสูงในปีแรกๆ ลดน้อยลงในปีหลังๆ (ทั้ง Double Declining และ Sum of the yeas digit) แนวคิดสำคัญเรื่องค่าเสื่อมนี้จะมองว่า ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมจะเกิดน้อยในช่วงปีแรกๆ และจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลังๆ ส่วนค่าเสื่อมจึงตัดมากในปีแรกๆ และลดลงในปีหลังๆค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมเมื่อรวมกันแต่ละปีจะคงที่เช่นกัน
-ส่วนวิธีสุดท้าย Unit of Production อยู่บนหลักคิดที่ว่าประโยชน์สินทรัพย์หมดลงตามผลผลิตที่เกิดหรือใช้งาน โดยแนวคิดนี้ไม่คึงนึงถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซม Unit of Production นี้คิดได้ 2 แบบคือ หน่วยผลิตสินค้าหรือชั่วโมงการผลิต (ชั่วโมงการใช้งาน)
-การกำหนดวิธีไม่เหมาะสมอาจจะให้มูลค่าของสินทรัพย์ที่เหลือสุทธิต่างไปจากความเป็นจริงมาก ก็ไม่ต่างจากการกำหนดอัตราคิดค่าเสื่อมไม่เหมาะสม ย่อมไม่เป็นผลดีกับกิจการในระยะยาว
-ค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ระยะยาวที่เกิดขึ้นก็สามารถใช้หลักการเดียวกัน มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เช่น BECL ที่ตัดค่าตัดจำหน่ายสิทธิในการใช้ประโยชน์บนงานก่อสร้างด้วยวิธี Unit of Production คือ สิทธิในการใช้ประโยชน์บนงานก่อสร้างที่เสร็จแล้วตัดจำหน่ายเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนตามปริมาณรถที่ใช้บริการ มองแล้วอาจไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าดูตามข้อเท็จจริง ค่าสิทธิ์นี้ก็คือ ค่าสัมปทานซึ่งประโยชน์จากการใช้ในความจริงหมดประโชน์ตามเงื่อนเวลามากกว่าหมดเพราะปริมณลดที่ขึ้น สมมติว่าปีนั้นรถไม่ขึ้นทางด่วนเลยไม่เกิดค่าตัดจำหน่ายสิทธิในการใช้ประโยชน์เป็นค่าใช้จ่ายเลยหรือ แล้วสัมปทานหมดอายุลงไป 1 ปี มูลค่าจะไม่ลดลงตามหรือ ทำนองกลับกัน ถ้ารถขึ้นมากประโยชน์สัมปทานจะหมดลงเร็วหรือ ก็ไม่ใช่ดังนั้นปริมาณรถจึงไม่ใช่เงื่อนไขของการตัดค่าตัดจำหน่ายสิทธิในการใช้ประโยชน์ ควรจะตัดแบบเส้นตรงมากกว่า
-ดังนั้นแทนที่กำไรจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงที่รายได้เพิ่มมากขึ้นจากปริมาณรถที่ใช้เพิ่มขึ้น กลับถูกลดลงจากค่าตัดจำหน่ายสิทธิในการใช้ประโยชน์บนงานก่อสร้างที่เสร็จแล้ว เมื่อกำไรลดลง เงินปันผลย่อมลดลง ในทางตรงข้ามกรณีที่รถใช้น้อยลง กำไรก็จะสูงกว่าที่ควร แต่เนื่องจากธุรกิจนี้ไม่ต้องสำรองเงินสดเพื่อซื้อทดแทนสินทรัพย์ที่หมดประโยชน์ กระแสเงินสดจึงสามารถจ่ายได้ทั้งหมดของกำไร และ D/E ควรมีแนวโน้มลดลง แต่บริษัทกลับมี D/E ที่แกว่งไม่แน่นอน นั่นเป็นเพราะการกำหนหดอัตราค่าตัดจำหน่ายไม่เหมาะสมส่วนหนึ่ง
-เรื่องค่าเสื่อมบางคนว่าง่ายๆ มันก็สามารถมีประเด็นทางการเงินได้ บางคนว่าแค่บัญชียังงงเลย เอาว่ารู้ผลกระทบแต่ไม่ต้องรู้ว่าลงอย่างไร อย่าสนใจว่าตัดอย่างไร ถูกหรือไม่ คำถามคือภาพกว้างๆ เหมาะสมไหมพอ
Credit: https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul