วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

เกร็ดความรู้ทาง PEG


การประเมินราคาหุ้นนอกจาก P/E แล้วมีอีกค่าที่นิยมใช้กันคือ PEG หลายวันก่อนได้อ่านเจอว่ามีโพสต์กันเรื่อง PEG เลยอยากจะกล่าวถึงสักหน่อย ค่า PEG นี้เท่าที่ทราบ Peter Lynch ใช้เป็นเครื่องมือหาหุ้นที่จะลงทุนและเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่เหมาะสมกับระดับราคา หุ้น2 ตัว แม้ค่า P/E จะเท่ากัน แต่ความน่าซื้ออาจไม่เท่ากันก็ได้ หุ้นที่มี P/E ต่ำใช่ว่าจะถูกเสมอ และหุ้นที่มี P/E ใช่ว่าจะแพงเสมอ แต่ผมถือว่าเป็นตัวคัดกรองที่ดีตัวหนึ่ง เพนาะเหตุผลอะไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน

PEG คืออัตราส่วนที่หาได้โดยเอาค่า P/E หารด้วยค่าอัตราการเติบโของกำไร (G) เช่นหุ้น A มี P/E 20 มีอัตราการเติบโตของกำไรคาดว่าเท่ากับ 18%% ต่อปี PEG จะเท่ากับ 20/18 = 1.11

ถ้าค่า PEG < 1 ถือว่าราคาหุ้นไม่แพง แต่ถ้า > 1 ถือว่าแพง ดังนั้นที่ลงทุนได้คือหุ้นที่มี PEG < 1 สรุปสั้นๆ ง่ายๆ คือ P/E หุ้น ไม่ควรสูงเกินอัตราการเติบโตของกำไร เช่นถ้าจะซื้อหุ้นที่มี P/E 30 หุ้นนั้นควรมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 30%

นักลงทุนหลายท่านโดยเฉพาะ VI ยึดเอามาเป็นหลักเลยทีเดียว ไม่ผิดครับแต่ต้องระวัง Myth หรือเชื่อกันมาแบบผิดๆ คือ Growth ที่เอามาหารนั้น ไม่ใช่ growth เพียงปีเดียว แต่ควรเป็น long-term growth อย่างน้อยสักห้าปีข้างหน้า และอย่าลืมว่า growth ที่ใช้เป็น expected growth ซึ่งหากเรา aggressive มากเกินไป เราเองนั่นและที่จะซื้อแพง และการหา growth นั้นควรหาจาก EPS ไม่ควรหาจากกำไรสุทธิรวมเพราะบางครั้งกำไรอาจโตเพราะมีการเพิ่มทุน แต่ EPS อาจจะ dilute เพราะเงินที่เพิ่มทุนจพนวนมาก แต่กำไรเพิ่มในอัตราที่น้อยกว่าเงินที่ระดมทุนซึ่งกรณีเช่นนี้ ROE จะลดลง นั่รคือ EPS ลดลงด้วยนั่นเอง

Myth ที่ 1 ใช้อัตราการเติบโตระยะสั้นเพียงปีต่อปี แทนที่จะใช้ long-term growth
สมมติว่าหุ้น A ปัจุบัน มีราคาที่ 30 กำไรต่อหุ้นที่ 1 บาท นั่นคือเทรดกันที่ P/E 30 เท่า ปีที่ผ่านมามีอัตรากำไรเติบโตสูงกว่า 28% จึงคาดว่าปีหน้ากำไรจะโต 35% ปรากฏว่าปีหน้าโต 30% ปีถัดไปคาดว่าจะโต 25%
ปีที่ X0   เติบโตจริง 28% คาดว่าจะโตปีหน้า 30%  EPS วันนี้ = 1  P/E 30   price  30
ปีที่ X1   เติบโตจริง 30% คาดว่าจะโตปีหน้า 22%  EPS วันนี้= 1.30  P/E 22   price  29.9
ปีที่ X2   เติบโตจริง 22% EPS วันนี้= 1.30  P/E 22   price  35
ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงราว 8% ต่อปี
ต้องคำนึงเสมอว่าราคาหุ้นนั้นเทรดกันบนความคาดหวัง หากปีหน้าความคาดหวังลดลง อาจจะเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในหรือภายนอก P/E ก็จะเปลี่ยนไปด้วย หากปีหน้าความคาดหวังลดลงเหลือเพียง 22% ราคาหุ้นจะลดลงเหลือเพียง 29.9 ไม่ใช่ 39 (1.3x30) เพราะปี X1 P/E เหลือเพียง 22 ไม่ใช่ 30 เท่าปี X0 ดังนั้นที่คาดหวังจะได้ผลตอบแทนปีละ 20-30% กลับไม่ได้ตามที่คาด จากตัวอย่าง ทั้งที่หุ้นมีกำไรเพิ่มเฉลี่ย (X1-X2) = 21% ต่อปี แต่กลับได้ผลตอบแทนเพียง 8%ต่อปี นี่เป็น basic case ที่คิดว่าหลายๆคนก็เป็น ทำไมถือหุ้น Growth แต่ ผลตอบแทน port ไม่ได้ตามนั้นเลย

Myth ที่ 2 ควรใช้ expected growth ไม่ใช่ growth ปีล่าสุด คล้ายกันกับตัวอย่างแรก เอาการเติบโตปีล่าสุดมาตั้ง เช่นหุ้นบางตัว ปี 2555 โต 50% เลยใช้ 50 เป็นตัวหาร ทีนี้เลยเทรดกันแพงหูฉี่ อย่าลืมว่ากำไรที่เกิดนั้นอาจเกิดจากรายการ one-time gain ทำให้กำไรพุ่งสูงผิดปกติ หากตัดออกกำไรอาจไม่โตเลยก็ได้ กำไรพวกนี้เคยกล่าวไว้หลายครั้งและว เช่น กำไรจากการต่อรองราตาซื้อ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากสัญญาอนุพันธ์ กำไรจากการขายสินทรัพย์ ตัวนี้ปีหน้าจะพบมาก เพราะการขายสินทรัพย์เข้า REIT, Property Fund หรือพวก Infrastructure Fund กำไรพวกนี้ไม่ควรมารวมคิดใน growth เว้นแต่เก็งกำไร (ซื้อปีนี้ขายปีหน้า) ไม่ใช่การถือระยะยาวแบบการลงทุนจริงๆ

Myth ที่ 3 Over expected growth หรือ aggressive มากเกินไป อันนี้ก็เช่นกัน Basic case อีก คล้ายกับ Myth 2 คาดหวังสูงเกินจริง อย่าลืมว่า Business cycle กับ Economic cycle หรือ Industrial cycle มันมีวงจรขึ้นลงของมันตามธรรมชาติอยู่ ฝืนไม่ได้ บางที growth สูงปีนี้ อาจเกิดจากวงจนขาขึ้น 3-4  ปีที่ผ่านมา อาจใกล้จบวงจรตอนปลายแล้วก็ได้ ทุกตัวเลขทีใช้จึงต้องกลั่นกรองดูให้รอบด้าน ผ่านการวิเคราะห์ทั้ง micro และ macro

Myth ที่ 4 ไม่หา growth จาก EPS แต่หาจากกำไรสุทธิรวม ซึ่งมีการเพิ่มทุนและเกิด dilute เช่น
บริษัท A ปี 54 มีกำไรสุทธิ 4,500 MB มีหุ้นทุน 3,000 หุ้น EPS = 1.5 per share P/E 16 price = 24
กลางไตรมาส4 ปี 54 เพิ่มทุน 1:1 เพื่อขยายงาน คาดว่าปีหน้ากำไรจะเพิ่มขึ้น 50%แต่เรากลับคาดว่า growth ของกำไรจะโตได้ถึง 50% แน่นอน เลยซื้อที่ P/E ถึง 30 เท่า ที่ราคา 45 บาท
ปี 55 มีกำไรสุทธิ 7,650 MB ได้ตามเป้าหมาย กำไรรวมเพิ่มขึ้น 50% มีหุ้นทุน 6,000 หุ้น EPS = 1.275 per share P/E 16 price = 20.4
ปี 56 มีกำไรสุทธิ 9,563 MB กำไรเพิ่ม 25% มีหุ้นทุน 6,000 หุ้น EPS = 1.59 per share P/E 25 price = 39.75
กรณีแบบนี้จะเห็นว่ากำไรก้าวกระโดดจาก 4,500 เป็น 7,650 และ 9,563 แค่ EPS จาก 1.5 เป็น 1.275 และ 1.59 ตามลำดับ ถ้าดูจากกำไรสุทธิอาจเพิ่ม 50% และ 25% แต่ถ้าดูจาก EPS จะเติบโต -85% และ 25%

PEG ดูเหมือนเป็นเครื่องมือที่ง่ายในการเลือกหุ้น เอาเข้าจริงก็ต้องรู้ทันนะครับ ถ้า VI มีเครื่องมือง่ายๆ คงมีเซียนหุ้นลงทุนร้อยล้านพันล้านเกลื่อนตลาดแล้วละครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าการลงทุนจะยาก เพียงแต่ต้องเรียนรู้ศึกษาอย่าได้หยุด เพราะแม้จะรวยเป็นพันล้าน ก็กลายเป็นยาจกได้ชั่วพริบตาเหมือนกัน เคยเห็นมากับตาแล้วทั้งช่วงราชาเงินทุนแบล็คมันเดย์ พฤษภาทมิฬ และวิกฤติปี 40 ช่วงนี้แค่คล้ายกับยุคบูม ตั้งแต่ 30-40 เท่านั้น เล่นหุ้นมาสิบกว่าปีมีเป็นร้อยล้านพันล้านอย่างเพิ่งสรุปว่าสุดยอดแล้ว เพราะวันรุ่งขึ้นยังมีอีกยาวไกล ตายแล้วยังรวยอยู่ค่อยว่ากัน สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพ เอาไว้หยุดรบก่อนค่อยว่ากัน ในต่างประเทศบางคน รวยล้นฟ้าแล้วก็กลายเป็นยาจก แล้วก็กลับมารวยล้นฟ้าใหม่ในตลาดหุ้นที่เดียวนี่แหละ

Credit: https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul