วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หุ้นน่ากลัว ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

    การที่ลงทุนในตลาดหุ้นมานานมากและได้เห็นเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ  ของผู้บริหารจำนวนมากในตลาดทำให้ผมพบความ “ไม่โปร่งใส”  ในการบริหารงานในบริษัทจำนวนมาก  บางเรื่องก็เป็น  “ความจำเป็น”  ทางธุรกิจ  บางเรื่องก็เป็นการกระทำของผู้บริหารที่เอาเปรียบหรือโกงบริษัท    บริษัทที่มีอาการหรือพฤติกรรมเหล่านี้มักจะมีลักษณะหรือโครงสร้างของการทำธุรกิจที่ “เอื้ออำนวย”  ให้เกิดการโกงได้ง่าย  การโกงนั้น  บางทีก็ทำให้บริษัทถึงกับล้มละลาย  แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ทำให้ผลประกอบการไม่ดีหรือลุ่ม ๆ  ดอน ๆ   ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  การลงทุนในหุ้นเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่  “น่ากลัว”  และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ   และถ้าหุ้นไม่ถูกจริงหรือมีประเด็นที่น่าสนใจจริง ๆ  แล้ว  ผมก็จะไม่ลงทุน  และต่อไปนี้คือบางส่วนของหุ้นที่ผมคิดว่า  “น่ากลัว”
   หุ้นกลุ่มแรกก็คือ   หุ้นของบริษัทที่รับงานจากหน่วยงานของรัฐเช่น  งานรับเหมาก่อสร้างโครงการต่าง ๆ   เหตุผลก็เพราะว่างานเหล่านี้มักจะต้องมี  “รายจ่ายพิเศษ”  ที่เราคาดการณ์ไม่ได้  รายจ่ายนี้คือรายจ่ายที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อให้  “ได้งานและเพื่อที่จะสามารถส่งมอบงานอย่างไม่ติดขัด”   จริงอยู่  บริษัทมักจะรวมค่าใช้จ่ายนี้ไว้แล้วเวลาเสนอราคา   แต่การเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่กำลังทำงานก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ซึ่งอาจทำให้บริษัทขาดทุนได้    นอกจากนั้น  การที่บริษัทมีรายจ่ายพิเศษที่ต้องจ่ายออกไปให้คนอื่นโดย  “ไม่มีใบเสร็จ”  อยู่แล้ว  การที่บริษัทจะจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้กับผู้บริหารหรือคนที่ทำเรื่องจ่ายจึงเป็นเรื่องง่ายและตรวจสอบไม่ได้   ผลก็คือ  กำไรของบริษัทอาจจะไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่ารายจ่ายพิเศษจะมีมากน้อยแค่ไหน  และนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมหลาย ๆ  บริษัทที่มียอดขายมากมายแต่กลับไม่มีกำไรอยู่บ่อย ๆ 
   หุ้นกลุ่มที่สองที่ “น่ากลัว”  คือบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านดีลเลอร์รายใหญ่ ๆ  หรือตัวแทนที่ผู้บริหารเป็นเจ้าของ   ประเด็นก็คือ  ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้น  มักมียอดขายที่สูงมากแต่มีมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายต่ำ  หากผู้บริหารต้องการทำกำไรให้ตนเองสูงสุด   เขาก็สามารถลดราคาขายให้กับดีลเลอร์ที่เป็นบริษัทส่วนตัว  อาจจะเป็นเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อยแต่เขาก็จะได้เงินมาก   และนั่นก็ทำให้บริษัทเสียหายและกำไรน้อยลงหรือไม่ได้กำไรเลย  ดังนั้น    การลงทุนในหุ้นแบบนี้  นักลงทุนจึงคาดผลประกอบการได้ยากและมีโอกาสเสียหายหนักถ้าเจ้าของหรือผู้บริหารไม่โปร่งใส
   หุ้นกลุ่มที่สามที่ผมรู้สึกไม่สบายใจและกลัวว่าผู้บริหารอาจจะไม่โปร่งใสก็คือ  บริษัทที่ซื้อกิจการหรือทรัพย์สินขนาดใหญ่จากบริษัทหรือคนที่  “ตรวจสอบไม่ได้”  หรือเป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือพอ  ประเด็นก็คือ  ราคาที่จ่ายไปนั้นอาจจะสูงเกินไปมาก  หรือกิจการมีคุณสมบัติที่แย่หรือกำลังจะย่ำแย่ลง   แต่เหตุผลที่ซื้อในราคาแพงนั้น   อาจจะเป็นเพราะซื้อแล้วมี  “เงินทอน”  ให้กับผู้บริหารจากคนที่ขายซึ่งตรวจสอบไม่ได้เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชนหรือเป็นบุคคลธรรมดา   ในกรณีแบบนี้  ในที่สุดแล้ว  บริษัทก็จะเสียหายเนื่องจากกิจการหรือทรัพย์สินที่ซื้อมาไม่สร้างผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่ากับเงินที่บริษัทจ่ายไป
   หุ้นกลุ่มที่สี่ที่ผมรู้สึกกลัวตลอดเวลาถ้าต้องถือหุ้นไว้ก็คือ  หุ้นของบริษัทที่มีลูกหนี้มากเมื่อเทียบกับยอดขายหรือขนาดทรัพย์สินหรือขนาดของเงินทุนของบริษัท  โดยเฉพาะถ้าลูกหนี้นั้นไม่ได้เป็นบริษัทหรือกิจการที่มีขนาดใหญ่ที่มีเรทติ้งที่ดีมาก  เหตุผลก็คือ  ลูกหนี้นั้นอาจจะเบี้ยวหนี้หรือกลายเป็นหนี้เสียและทำให้บริษัทเสียหายหนัก  บางครั้งอาจจะล้มละลายได้   การที่ลูกหนี้กลายเป็นหนี้เสียนั้นก็อาจจะมีได้หลายสาเหตุซึ่งรวมถึงภาวะทางเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงอย่างหนัก  หรือเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้บางรายที่เป็นลูกค้ารายใหญ่มาก  หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือ  เป็นลูกหนี้ที่เป็นกิจการของผู้บริหารที่ตั้งขึ้นเพื่อที่จะ  “โกงบริษัท”  ตั้งแต่แรกก็เป็นไปได้
   หุ้นกลุ่มที่ห้าที่ไม่ใช่เรื่องของการโกง  แต่เป็นบริษัทที่มีหนี้มากในขณะที่กิจการมีความไม่แน่นอนของผลประกอบการสูงเนื่องจากเป็นกิจการที่ขายสินค้าที่เป็นวัฏจักรหรือสินค้าที่มีความเป็นโภคภัณฑ์สูง  ประเด็นก็คือ  ในยามที่เกิดความยากลำบากขึ้น  บริษัทอาจจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ซึ่งทำให้บริษัทมีปัญหาทางการเงินหนัก  บางทีอาจจะถึงกับล้มละลายได้  หรือในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นมาก  ผลกำไรของบริษัทก็อาจจะถูกกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้
   หุ้นกลุ่มที่หกที่บ่อยครั้งคนในวงการนักเล่นหุ้นชอบมากเพราะเป็นหุ้นกลุ่มที่อาจจะให้ผลตอบแทนในระยะสั้นหวือหวา   แต่สำหรับผมที่เน้นการลงทุนในพื้นฐานและเป็นการลงทุนระยะยาวแล้ว  กลับเป็นหุ้นที่น่ากลัว  เนื่องจากผมไม่ใคร่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดี  หลายครั้งผมรู้สึกด้วยว่ามันเป็น  “เกมปั่นหุ้น”  ที่อาจจะไม่ผิดกฎหมาย  แต่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวได้มาก  และทำให้คนที่รู้ขายทำกำไรไปก่อน  แล้วทิ้งให้คนที่มาทีหลังหรือคนไม่รู้รับความเสี่ยงไป   และนี่ก็คือหุ้นของบริษัทที่มี  “วิศวกรรมการเงิน”  หรือการ  “ปรับโครงสร้าง”  ใหญ่ ๆ  ของบริษัทตลอดเวลา  โดยที่ผลิตภัณฑ์หรือการดำเนินการหลักของบริษัทนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนอะไรที่สำคัญและก็ไม่ใช่ธุรกิจที่ดีเลิศอะไรนัก
   บริษัทที่น่ากลัวในกลุ่มที่หกก็เช่น  บริษัทที่เปลี่ยนแปลงหรือมีธุรกิจใหม่ ๆ  ที่มีนัยสำคัญสูงอยู่เรื่อย ๆ   บางทีนอกจากธุรกิจใหม่แล้ว  ชื่อของบริษัทก็ถูกเปลี่ยนไปตามแนวของธุรกิจใหม่จนเราจำไม่ได้ว่าเดิมบริษัทชื่ออะไร  ความน่ากลัวอยู่ที่ว่า  ธุรกิจใหม่นั้นอาจจะไม่ดีและทำให้ผลประกอบการเลวลงเนื่องจากบริษัทอาจจะไม่มีความสามารถหรือประสบการณ์พอในการทำงาน  เหนือสิ่งอื่นใด  ถ้าของเดิมบริษัทก็ทำไม่ได้ดีอยู่แล้ว  ของใหม่จะทำได้เหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างไร!
   นอกจากเรื่องของการเปลี่ยนธุรกิจไปเรื่อย ๆ  แล้ว    บริษัทที่  “ใช้เครื่องมือทางการเงิน”  อย่างพร่ำเพรื่อ  โดยที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ  ก็เป็นสิ่งที่ผมมักจะกลัว  ตัวอย่างเช่น  การแตกพาร์จาก 1 บาทเหลือ 25 สตางค์ เพื่อ  “เพิ่มสภาพคล่อง”  ของหุ้น  ทั้งที่ราคาหุ้นก็ไม่ถึง 10 บาทอยู่แล้ว   หรือการออกวอแรนต์แจกให้ผู้ถือหุ้นมากมายหลาย ๆ  ชุดต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ  จนวอแรนต์นั้นมีสัดส่วนอาจจะเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งบริษัท  แบบนี้ผมก็ถือว่าไม่สมเหตุผล    ประเด็นก็คือ  ผมคิดว่าผู้บริหารไปเน้นการ “บริหารหุ้น”  มากกว่าการบริหารกิจการ  และดังนั้น  การเข้าไปซื้อหุ้นที่มีคนบริหารนั้น  จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว  เพราะเราอาจจะเข้าไปซื้อที่ราคาแพงเกินไปมากได้
   หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือหุ้นที่  “กินก่อน  จ่ายทีหลัง”  ตัวอย่างเช่น  สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้แก่กิจการธุรกิจ    สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการแบบเงินผ่อน  บริษัทประกันภัย  เป็นต้น  บริษัทเหล่านี้นั้น   เมื่อขายบริการหรือผลิตภัณฑ์ของตน  พวกเขาก็จะกำไรทันทีในระยะสั้น  แต่ต้นทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน  ขึ้นอยู่กับลูกค้าหรือเหตุการณ์ในอนาคตว่าบริษัทจะได้รับเงินคืนหรือไม่  แต่โดยธรรมชาติของคนก็คือ  เราอยาก  “กินก่อน”  อนาคตไม่แน่นอนอย่าไปคิดมาก   เหนือสิ่งอื่นใด  ถ้าลูกค้าเสีย  เจ้านายก็อาจลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนทำ  ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  ธุรกิจแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว  เพราะเราอาจจะคิดว่าบริษัทกำลังโต  กำลังดีขึ้น  ทั้งที่อาจจะไม่จริงเพราะในที่สุด  บริษัทอาจจะต้อง  “จ่ายหนักทีหลัง” นั่นก็คือ  บริษัทเสียหายอย่างหนัก
   ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหุ้นที่น่ากลัวสำหรับผม  แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลงทุนไม่ได้  เพียงแต่ว่าเราจะต้อง Discount หรือลดมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นลง  นั่นก็คือ  หุ้นจะต้องมีราคาต่ำพอที่จะคุ้มสำหรับการลงทุน