วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

10ท่ายากในการลงทุน โดยคุณ ธันวา เลาหศิริวงศ์

คำว่า ‘ท่ายาก’ เริ่มคุ้นหูในวงสนทนาคนใกล้ชิดหรือจากสื่อออนไลน์บ่อยขึ้น แต่หากเป็นคอกีฬายิมนาสติกหรือกีฬากระโดดน้ำแล้ว จะเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะหากเลือกใช้ ‘ท่ายาก’ ซึ่งมีระดับความยากมากกว่า ‘ท่าปกติ’ นักกีฬาจะได้รับคะแนนพิเศษเพิ่มขึ้นอีกหากทำได้สมบูรณ์แบบ ทำให้มีโอกาสชนะในการแข่งขันมากขึ้น ในทางกลับกัน หากนักกีฬาไม่สามารถทำได้ดังคาด จะถูกตัดคะแนนและอาจทำให้ ‘พลาด’ เหรียญรางวัลได้เช่นกัน การเลือกใช้ท่ายากจึงเหมาะสำหรับ นักกีฬาที่มีทักษะ ผ่านการฝึกฝนอย่างดี และมีความพร้อมสภาพร่างกายขณะแข่งขันด้วย
   เป้าหมายของนักลงทุนคือ การได้รับผลตอบตอบแทนที่ดีหรือ ‘มีกำไร’ และต้อง ‘ไม่ขาดทุน’ จากการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาหลีกเลี่ยง ‘ท่ายาก’ ในการลงทุนเพราะอาจวิธีเป็นหนึ่งที่หลีกเลี่ยงการขาดทุน ท่ายากในการลงทุนมีอะไรบ้าง
   ท่าแรก ลงทุนแบบไม่มีหลักการลงทุน แนวทางหรือหลักการลงทุนมีมากมายหลายวิธี เช่น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือการใช้ปัจจัยทางเทคนิค แม้แต่ละวิธีจะมีจุดเด่น ข้อด้อยที่แตกต่างกันไป นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จจำเป็นต้อง ‘ตกผลึก’ ทางความคิดหลักการลงทุนของตน โดยเรียนรู้จากทั้งความผิดพลาดและกรณีประสบความสำเร็จในอดีต หลักการที่ดีจะต้องเหมาะกับแนวทางการใช้ชีวิตและตรงกับ ‘จริต’ ของตนอีกด้วย
   การลงทุนตามข่าวลือ อินไซด์ ตามเซียนหุ้น แม้จะได้ผลกำไรงามในบางสถานการณ์ แต่ไม่ใช่หลักการลงทุนที่ยั่งยืนเพราะจำเป็นต้อง ‘พึ่ง’ ผู้อื่นอยู่เสมอ หากข้อมูลคลาดเคลื่อนไม่ทันเหตุการณ์ อาจเกิดความเสียหายขึ้นได้  นอกจากนี้ การไม่ได้วิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง จะทำให้ไม่กล้าเข้าลงทุนในปริมาณที่มีนัยสำคัญแม้จะพบกิจการยอดเยี่ยมในราคายุติธรรมก็ตาม
   ท่าที่สอง ลงทุนเกินขอบข่ายความรู้ (Circle of Competency) หากเปรียบการลงทุนหุ้นเสมือนการนำเงินในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของตนเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจแล้ว นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้ เพื่อเข้าใจทั้งข้อมูลอุตสาหกรรม สภาวะการแข่งขัน โครงสร้างและรูปแบบธุรกิจ ความเสี่ยง สถานะทางการเงิน ตลอดจนทีมผู้บริหาร ก่อนตัดสินใจลงทุนหลังจากผ่านการวิเคราะห์อย่างดี นักลงทุนมีแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยเกี่ยวกับบริษัทที่สนใจลงทุน ได้แก่ แบบฟอร์ม 56-1 รายงานประจำปี งบการเงินรายไตรมาส งาน Opportunity Day ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัท เป็นต้น
   ในทุกวันทำการ จะมีคนเสนอขายกิจการต่างๆ ในทุกอุตสาหกรรมเพื่อให้เราร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจดังกล่าว เป็นหน้าที่และภารกิจหลักของเราที่จะตัดสินใจหลีกเลี่ยงและ ‘ปฏิเสธ’ คำเสนอขายเหล่านั้นหากเรายังไม่มั่นใจและเข้าใจธุรกิจนั้นดีเพียงพอ
   ท่าที่สาม ลงทุนแบบไม่เคยประเมินมูลค่า การประเมินมูลค่าหุ้นแต่ละวิธีล้วนมีข้อดี ข้อเสีย เนื่องจากมีตัวเลขจากการคาดการณ์มาใช้ในการคำนวณ จึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังจำเป็นต้องประเมินมูลค่ากิจการโดยอาจใช้วิธีที่ตนถนัดและเหมาะสมกับแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทราบคร่าวๆ ถึงช่วงราคาที่ถูก ที่เหมาะสม หรือที่แพงของแต่ละกิจการที่เราสนใจ
   ช่วงระดับราคาที่ได้จากการประเมินจะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นในช่วงราคาที่ถูกและมีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) และหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อหุ้นในช่วงราคาที่แพง ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายจากการลงทุนได้
   ท่าที่สี่ ลงทุนแบบซื้อขายบ่อยเกินไป แม้นักลงทุนแต่ละคนจะมีหลักการ หรือเงื่อนไขในการซื้อขายหุ้นแตกต่างกัน แต่สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่านั้นมักมีธุรกรรมซื้อขายหุ้นหากพบว่า พื้นฐานของกิจการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างถาวร ราคาหุ้นสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน หรือเมื่อพบกิจการกิจการที่ยอดเยี่ยมกว่าในราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัยสูงกว่า
   ข้อเสียของการซื้อขายบ่อยครั้งคือ ค่าคอมมิชชั่นซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมต่ำลง แม้ไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ในการซื้อขายกับผลตอบแทนการลงทุน แต่หากต้องติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด ต้องสูญเสียเวลาและขาดสมาธิในแต่ละวัน และอาจมีอารมณ์แปรปรวนตามภาวะตลาดแล้ว น่าจะถือว่าเป็นการขาดทุนทางอ้อมอย่างหนึ่ง
   ท่าที่ห้า ลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยง นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนหุ้น 4-8 ตัวเพื่อการบริหารความเสี่ยงและเผื่อความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น แม้จะมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของกิจการและการวิเคราะห์ของตน แต่การถือหุ้นเพียง 1-2 ตัวก็เป็นการเสี่ยงเกินไปหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น นักลงทุนต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น” นักลงทุนที่ประสบการณ์ไม่มากนักจึงควรหลีกเลี่ยง ‘ท่ายาก’ นี้เช่นกัน
   การถือหุ้นจำนวนมากเกินไปแม้จะช่วยกระจายความเสี่ยง แต่อาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง นอกจากนี้ การถือหุ้น 15-20 ตัวขึ้นไป อาจทำให้ไม่มีเวลาศึกษารายละเอียดและติดตามกิจการอย่างใกล้ชิด ซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งด้วย