วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความคาดหวังเฟ้อ โดย ดร.นิเวศน์


เวลาที่เงินในท้องตลาด ซึ่งอยู่ในกระเป๋าของคนมีมากเกินไป เงินนั้นก็จะถูกนำไปไล่ซื้อสินค้าทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นมา
 ผลก็คือ สินค้าที่ได้ก็เท่าเดิม  ถึงแม้เราจะมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น สถานการณ์แบบนี้เราเรียกว่า "เงินเฟ้อ" ในภาษาไทย เรายังมีคำว่า "เฟ้อ" ใช้ในหลายๆ โอกาส เช่น "ท้องเฟ้อ" นี่เป็นอาการที่ท้องปูดออกมาเพราะข้างในมีลมเต็ม เป็นอาการที่ท้องโตขึ้นเพราะลมไม่ใช่เนื้อหนัง ไม่ช้าก็จะยุบลง
 อาการ "เฟ้อ" มักไม่ใช่สิ่งที่ดี สิ่งที่เฟ้อนั้น ดูเหมือนจะโตขึ้นแต่ไม่มีเนื้อหา บางครั้งก็มีอันตราย การเฟ้ออย่างหนึ่งที่ผมเห็นในช่วงที่หุ้นบูมเป็นกระทิงในช่วงนี้ก็คือ "ความคาดหวังเฟ้อ" และคนที่มีความคาดหวังเฟ้อมากเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะเป็น  Value Investor จำนวนไม่น้อย ที่ควรจะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากกว่าคนอื่นและไม่เล็งผลเลิศ ในสถานการณ์ที่น่าจะเป็น "ปีทองของ VI" เช่นในปีนี้  ก็เป็นเรื่องยากที่  VI จะไม่ "ฝันสุดขอบฟ้า"
 ความคาดหวังที่เฟ้อมากที่สุดที่ผมเห็นก็คือ ฝันว่าจะสามารถทำผลตอบแทนการลงทุนต่อปีสูงมากกว่าที่น่าจะเป็นไปได้ นี่ก็เป็นความหวังหลังจากที่เขาสามารถสร้างผลตอบแทน บางคนเป็นร้อย หรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาแค่สองปีที่ผ่านมานี้ 
 การลงทุนนั้นดูเหมือนจะ "ง่ายมาก" ซื้อตัวไหน ตัวนั้นก็มักจะวิ่งกันเป็นสิบ หรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้น ดังนั้น การตั้งความหวังของ VI ในเรื่องของผลตอบแทนก็คือ อย่างน้อยก็ต้องได้ 15-20% ต่อปีในระยะยาว คนที่ทำผลตอบแทนได้ดีมากก็อาจจะตั้งไว้ที่ 20-25% บางคนก็อาจจะสูงถึง 30-40% ดูเหมือนว่าการมีเงินหลายร้อยหรือพันล้านบาทเป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินเอื้อม
 ในเรื่องนี้ผมอยากบอกว่า ผลตอบแทนระยะยาวทบต้นเป็นเวลาเช่น 30 ปี เป็นเรื่องยากที่จะทำได้สูงมาก จริงอยู่ในภาวะที่ตลาดหุ้นดีและเป็นช่วงทองของหุ้นแนว "VI"   การทำผลตอบแทนที่ดีมากๆ ขนาดได้กำไรเป็นร้อยๆ เปอร์เซ็นต์ต่อปีนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้โดยเฉพาะที่เรายังมีพอร์ตไม่ใหญ่มาก แต่การที่จะทำผลตอบแทนที่ดีมากต่อเนื่องในระยะยาวเป็นเรื่องที่ยาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพอร์ตเราใหญ่ขึ้นและเรากล้าเสี่ยงน้อยลง 
 เหนือสิ่งอื่นใด ตลาดหุ้นไม่ได้ดีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นช้าๆ เฉลี่ยปีละประมาณ 7% โดยมีปันผลอีกประมาณ 3% รวมแล้วก็คือ 10% ต่อปี สถิติของเซียนหุ้น "ระดับโลก"  ในระยะยาว เขามักจะได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดไม่เกิน 10% ต่อปี นี่คือฝีมือระดับ วอร์เร็น บัฟเฟตต์  ถ้าเป็นระดับรองลงมาอย่าง จอห์น เนฟฟ์  ก็อาจจะประมาณ 3-4% ต่อปี  นั่นแปลว่า  ถ้าเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 15% ต่อปีในระยะยาวถึง 30 ปี  สถิติของเราก็ไม่แพ้ จอห์น เนฟฟ์  และถ้าเราทำได้ 20% ต่อปี  เราก็ดีเกือบเท่าบัฟเฟตต์  และถ้าได้ 25% ต่อปี  โลกนี้ก็เป็นของเรา เฟ้อไหมครับ?
 ความคาดหวังเฟ้ออีกเรื่องหนึ่งก็คือ การคาดหวังว่าบริษัทที่เราเลือกลงทุนเป็น "หุ้นโตเร็ว" จะเติบโตสูงมาก เช่น รายได้โตได้ปีละ 25-30% ในระยะยาว ขณะที่ผลกำไรที่ทำได้จะเติบโตตาม หรือโตมากกว่า เพราะบริษัทอาจจะมี  Economy Of Scale ดีขึ้น ความคาดหวังนี้ มักจะมาจากการที่ได้เห็นการเติบโตของบริษัทในช่วง 2-3 ปี  ที่ผ่านมาที่น่าประทับใจมาก ประกอบกับ  Model หรือรูปแบบการประกอบการของบริษัทนั้นดู "โดดเด่น" กว่าคู่แข่งและไม่เห็นว่าใครจะเข้ามาแข่งขันได้อย่างน้อยในช่วงเวลานี้ 
 ดังนั้น  เขาจะเข้าซื้อหุ้นโดยหวังว่า หุ้นจะต้องปรับตัวขึ้นไปอย่างโดดเด่น อาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลาไม่นาน พอเข้าซื้อแล้ว "มหัศจรรย์" ก็เกิดขึ้น หุ้นอาจจะขึ้นไปสองร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่เขาคาดหวังไว้ถูกต้องหมด จริงๆ มากกว่าที่หวัง ความสำเร็จนี้ ทำให้เขาเชื่อว่า หุ้นที่โตเร็วขนาดปีละ 25-30% ในระยะยาวมีจริงและมีไม่น้อย การซื้อหุ้นเหล่านี้ในช่วงที่ราคายังไม่ปรับตัวขึ้นมากคือหนทางแห่งความสำเร็จ
 แต่บริษัทที่โตระยะยาวเช่น 20-30 ปี ในอัตรา 25-30% ต่อปีนั้น มีจริงไหม? ผมเองไม่ได้ศึกษาลึกซึ้งในเรื่องนี้ แต่จากการติดตามบริษัทที่เติบโตจริงๆ ไม่ใช่บริษัทที่โตชั่วคราว 2-3 ปี แล้วก็กลับมาที่เดิมนั้นพบว่า บริษัทที่สามารถเติบโตได้ถึงปีละ 10% ก็ค่อนข้างดีแล้ว การเติบโตปีละ 15%  แบบทบต้นนั้น  ต้องถือว่าเป็น Super Growth หรือเป็นบริษัทที่เติบโตสุดๆ ถ้ามองระดับอินเตอร์ก็คงจะเป็นระดับบริษัท  Exxon ผู้ผลิตน้ำมันระดับต้นๆ ของโลก  หรือถ้ามองในเมืองไทยก็น่าจะประมาณกลุ่มปูนซิเมนต์ไทยที่โตเร็วต่อเนื่องมากว่า 30 ปี
 ส่วนการโตปีละ 20% ผมคิดว่าน่าจะหาได้ยากมาก ประเด็นสำคัญที่ทำให้คนมักเข้าใจผิด ถึงการเจริญเติบโตก็คือ เขามักจะมองระยะสั้นแล้วตีความไปว่าระยะยาว ก็คงเป็นอย่างนั้น ในช่วงที่บริษัทขยายตัวมากโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังร้อนแรงในปีนี้ จึงทำให้หลายคนมองว่าหุ้นบางตัวเป็น "หุ้นโตเร็ว" และโตได้ถึง 25-30% ต่อปี ซึ่งถ้าดูจากสถิติแล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เป็นการคาดหวังเฟ้อ
 อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ การเติบโตของธุรกิจ บางทีก็ทำให้เร็วกว่าปกติมากๆ ได้ ทางหนึ่งก็คือ ซื้อกิจการของคนอื่น แบบนี้บริษัทก็จะมีต้นทุนทางการเงินที่อาจจะสูงจนทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว อีกทางหนึ่งก็คือ การลงทุนขยายตัวในธุรกิจผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ที่มักมีผลกำไรในระยะยาวต่ำหรือเท่ากับผลตอบแทนของเงินลงทุนปกติ การทำแบบนี้ก็อาจจะทำให้บริษัทสามารถโตเร็วกว่าปกติได้  เพราะสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมากนั้น  มีตลาดไม่จำกัดเพราะเป็นตลาดโลก ดังนั้น บริษัทจะโตเท่าไรก็ได้ แต่โตแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะต้องลงทุนสร้างโรงงาน กำไรที่เพิ่มขึ้นก็คือผลตอบแทนปกติของเงินทุนที่ลงไป ประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของเงินก็ไม่มี
 ข้อสรุปทั้งหมดของผมก็คือ ความเฟ้อของความคาดหวังที่เกิดขึ้น เพราะสถานการณ์ระยะสั้นในระยะนี้ เศรษฐกิจกำลังเติบโตเร็ว และมาจากฐานที่ต่ำ ซึ่งเป็นผลจากปี 2008 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในสหรัฐ ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดูดีมากและมีแนวโน้มที่จะดูดีต่อไป 
 แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นและราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมา "ยืนยัน" ความเชื่อหรือความคาดหวังนั้นส่งผลให้ความคาดหวังในรอบต่อไป "เฟ้อ" เขาคิดว่า อนาคตจะเป็นแบบนั้นต่อไปอีกนาน แต่สถิติที่ผ่านมายาวนานบอกว่าสิ่งที่หวังไว้ "ไม่น่าเป็นไปได้" อาจจะมีคำถามตามมาว่า มีอะไรเสียหายถ้าจะ "ฝันให้ไกล" เพราะถ้าฝันให้ไกลแล้ว แม้ไปได้แค่ครึ่งทาง ก็ยังดีกว่าตั้งเป้าหมายไว้ต่ำๆ คำตอบของผม ก็คือ การฝันไกลเกินไปอาจจะทำให้เราพยายาม "เร่ง" ผลตอบแทนเกินตัว เช่น  การใช้มาร์จิน  การไม่กระจายความเสี่ยงเพียงพอ และนั่นคืออันตราย 
 การลงทุน ก็เหมือนการแข่งขันวิ่งมาราธอน การวิ่งเร็วมากๆ ไม่ใช่หนทางที่จะชนะ เพราะฉะนั้น อย่าตั้งความคาดหวังสูงเกิน และไม่ต้องดูว่าใครจะทำผลตอบแทนเท่าไร  กำหนดเส้นทางของตนเองที่เหมาะสมที่สุดแล้วเดินตามทางนั้น ไม่ต้องรีบ