วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีการ และ แนวทางในการลงทุน ของ Philip Fisher





ฟิลิป ฟิชเชอร์
philip fisher ให้ความสนใจในหุ้นบริษัทใหม่ที่มีการเติบโต (Young growth stock) เพื่อให้ได้มาซึ่งความชัดเจน นักลงทุนควร
  • อ่านข้อมูลทุกอย่างที่หาได้ ทั้งจากวารสาร รายงานของบริษัทหลักทรัพย์
  • สนทนากับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เช่นผู้จัดการ พนักงาน โดยเฉพาะกับผู้ป้อนวัตถุดิบ ลูกค้า คู่แข่ง
  • เยี่ยมชม สถานที่ทำงานในจุดต่างๆของบริษัท เช่น โรงงาน สาขา ถ้าเป็นไปได้ ไม่ควรไปแค่สำนักงานใหญ่
ก่อนที่จะซื้อหุ้นของบริษัทนั้นๆ จะต้องแน่ใจว่า สามารถตอบคำถามทั้ง 15ข้อ ดังต่อไปนี้ได้
  • 1. บริษัทนี้มีสินค้า หรือบริการที่มีศักยภาพทางการตลาด ที่สามารถทำยอดขายให้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในอีกหลายๆปีข้างหน้าได้หรือไม่?
  • 2. ผู้ บริหารของบริษัทมีแนวทางในการพัฒนาสินค้าใหม่ หรือขบวนการใหม่ๆที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขายสินค้า ในขณะที่สิ้นค้าชนิดเดิมก็ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง
  • 3. การวิจัยและพัฒนาของบริษัทมีประสิทธิภาพมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับขนาดของบริษัท?
  • 4. บริษัทนี้มีหน่วยงานขายที่อยู่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่?
  • 5. บริษัทนี้มีกำไรขั้นต้นสูงหรือไม่ ?
  • 6. บริษัทมีกลยุทธ์อะไรในการรักษาหรือเพิ่มกำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น?
  • 7. บริษัทมีหน่วยงานแรงงานสัมพันธ์ที่ดีหรือไม่?
  • 8. ผู้บริหารภายในบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรือไม่
  • 9. การจัดการของบริษัทมีความซับซ้อนหรือไม่
  • 10. บริษัทมีการวิเคราะห์และควบคุมต้นทุน และบัญชีดีแค่ไหน
  • 11. บริษัทมีแนวทางในการสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการเมื่อเทียบกับคู่แข่งขันอย่างไร
  • 12. บริษัทมีทัศนะทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อการทำกำไรของบริษัทอย่างไร?
  • 13. ใน อนาคตที่ไม่สามารถคาดเดาได้นั้น หากบริษัทต้องการเงินทุนด้วนการระดมทุนเพิ่มเพิ่มเพื่อสร้างการเติบโตให้สูง ขึ้น การที่มีหุ้นเพิ่มสูงขึ้นจะกระทบผลประโยชน์ผู้ถือหุ้นมากน้อยอย่างไร?
  • 14. ให้สังเกตว่า เมื่อยามที่กิจการไปได้ดีผู้บริหารของบริษัทยินดีที่จะพูดคุยอย่างตรงไปตรง มากับนักลงทุน แต่ในยามที่มีเหตูการเลวร้ายผู้บริหารจะหายตัวไปหรือไม่?
  • 15. บริษัทมีผู้บริหารที่ซื่อสัตย์หรือไม่
เหตุผลที่ philip fisher จะขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่
  1. เขามีเหตุผลเพียงสามประการที่จะตัดสินใจขายหุ้นออก
  2. เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในการวิเคราะห์หุ้นที่ซื้อมาแล้ว
  3. บริษัทนั้นมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถผ่านหลักเกณฑ์ทั้ง15ข้างต้นได้เหมือนที่เคยเป็น
  4. สามารที่จะนำเงินลงทุนในบริษัทเดิมไปลงทุนในบริษัทอื่นที่สามารถสร้างผลตอบ แทนได้สูงกว่ามากๆ และก่อนจะตัดสินใจลงไปต้องแน่ใจว่ามีเหตุผลที่หนักแน่นพอ
ประโยคทอง philip fisher Key sayings
  1. ผมไม่ต้องการการลงทุนที่ดีจำนวนมากๆ แต่ผมต้องการบริษัทที่ดีที่สุดจำนวนไม่มากนัก
  2. รางวัล อันยิ่งใหญ่จากการลงทุน นั้นมาจากบุคคลที่โชค หรือมีความรู้สึกพิเศษในการเลือกลงทุนในบริษัทที่สามารถสร้างการเติบโตของ ยอดขายและกำไรได้อย่างยาวนาน และเหนือกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมทั้งหมด
  3. ถ้าหากการวิเคราะห์บริษัทได้ทำลงไปอย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว เวลาที่จะขายหุ้นนั้นคือ ไม่มีระยะเวลา

ในการลงทุนนั้น การหยุดการสั่งซื้อมีความสำคัญพอๆกับการสั่งซื้อ ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำจาก ฟิลิป ฟิชเชอร์ ในเรื่องที่คุณไม่พึงกระทำ
. 1. อย่าเน้นในเรื่องการกระจายความเสี่ยงมากจนเกินเหตุ ที่ปรึกษาการลงทุนหลายๆคนและนักสื่อสารด้านการลงทุน ได้อธิบายความถึงข้อดีของการกระจายตวามเสี่ยง โดยยกเอาประโยคที่น่าสนใจและจดจำง่ายนี้ขึ้นมาพูดอยู่เสมอๆ “อย่าใส่ไข่หลายๆฟองของท่านไว้ในตระกร้าใบเดียว” อย่างไรก็ตาม ฟิชเชอร์ ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ท่านใส่ไข่หลายฟองของท่านไว้ในตระกร้าใบโน้นบ้างใบนี้บ้าง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าไข่ทั้งหมดทุกฟองจะอยู่ในที่ปลอดภัยดี อีกทั้งยังยากต่อการเฝ้าติดตามดูไข่ทุกฟองนั้น ฟิชเชอร์, เป็นผู้ซึ่งถือหุ้นไม่เกิน 30 ตัวเป็นอย่างมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดของอาชีพ, มีคำตอบที่ดีกว่าดังนี้คือ ให้เสียสละเวลาค้นคว้าและทำความเข้าใจบริษัทหนึ่งๆอย่างถ้วนถี่ และถ้าหากเป็นที่แน่ชัดว่าบริษัทดังกล่าวเข้าเกณฑ์ 15 ข้อที่เขาตั้งเป็นเกณฑ์กำหนดไว้ครบถ้วน คุณควรที่จะลงทุนในปริมาณมากๆ’ ฟิชเชอร์ เห็นด้วยกับคำพูดของ มาร์ค ทเวน ที่ว่า “ใส่ไข่ทั้งหมดทุกฟองของคุณไว้ในตระกร้าใบเดียว และเฝ้าดูแลตระกร้านั้นให้ดี”
2. อย่าแห่ตามฝูงชน การเฮโลไปกับฝูงชนโดยลงทุนในหุ้นที่กำลังอยู่ในความนิยม อย่างเช่น หุ้นกลุ่ม”นิฟตี้ ฟิฟตี้” (หุ้น 50 ตัวที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสถาบัน)ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในช่วงปลายทศวรรษปี 1990 เป็นอันตรายต่อสุขภาพการเงินของคุณได้ ในทางตรงกันข้าม การค้นคว้าหาข้อมูลในหุ้นกลุ่มที่ฝูงชนละเลยไม่ให้ความสนใจ ก็สามารถสร้างผลกำไรให้สูงมากๆได้ ครั้งหนึ่ง เซอร์ ไอแซ๊ค นิวตัน เคยพูดยอมรับอย่างเศร้าใจว่า เขาสามารถที่จะคำนวณการเคลื่อนไหวของวัตถุต่างๆที่ตกมาจากท้องฟ้าได้ แต่กับความบ้าคลั่งของฝูงชนนั้น เขาไม่อาจจะทำได้ ฟิชเชอร์ เห็นด้วยอย่างจริงใจกับคำกล่าวนี้
3. อย่าคิดเล็กคิดน้อย หลังจากได้ศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวาง และคุณได้พบบริษัทที่คุณมั่นใจว่าจะเจริญเติบโตอย่างแน่นอนในช่วง 10 ปีข้างหน้า และราคาหุ้นปัจจุบันเสนอขายในราคาเหมาะสม คุณควรจะรอหรือละเว้นการลงทุนของคุณเพื่อให้ราคาลงมาต่ำกว่าที่เป็นอยู่ขณะนั้นอีกซักไม่กี่เพนนีดีกว่า? ฟิชเชอร์ ได้เล่าเรื่องของนักลงทุนที่ชำนิชำนาญคนหนึ่ง ที่ต้องการจะซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่งซึ่งในวันนั้นราคาหุ้นปิดที่ 35.5 เหรียญต่อหุ้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนผู้นี้ตั้งใจว่าจะไม่ซื้อหุ้นตัวนั้นจนกว่าราคาจะลดลงมาอยู่ที่ 35 เหรียญ ซึ่งหลังจากวันนั้น หุ้นตัวนี้ไม่เคยมีราคาต่ำกว่า 35 เหรียญอีกเลย และต่อมาอีก 25 ปี มูลค่าของหุ้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 500 เหรียญต่อหุ้น นักลงทุนผู้นี้พลาดโอกาสที่จะได้ส่วนต่างราคาที่มากมายมหาศาลไปอย่างน่าเสียดาย เพียงแค่ต้องการประหยัดต้นทุนอีก 50 เซนต์ต่อหุ้น
แม้แต่ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ เอง ก็มักจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดทางจิตใจในแบบนี้เช่นกัน บัฟเฟตต์ เคยเริ่มซื้อ วอลมาร์ท เมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น แต่ก็หยุดซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย บัฟเฟตต์ ยอมรับว่าความผิดพลาดอันนี้ทำให้ เบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ สูญเสียกำไรที่ควรจะเป็นไปราว 1 หมื่นล้านเหรียญ แม้แต่นักทำนายผู้ปราดเปรื่องแห่งโอมาฮา ยังน่าได้รับประโยชน์จากข้อแนะนำของ ฟิชเชอร์ ข้อนี้ที่ว่า อย่าคิดเล็กคิดน้อย