วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สรุปหนังสือ "รวยหุ้นล้นฟ้า ด้วยระบบคิดใหม่"



วันนี้เป็นอีกวันที่นึกคลึ้มอยากเขียน review หนังสือเกี่ยวกับหุ้นที่เพิ่งไปถอยมาสดๆร้อนๆ (ตอนนี้ ซื้อทุกเล่มไม่ไหวแล้ว ออกกันมายังกะดอกเห็ด หรือจะเป็นดังคำกล่าวที่ว่า ดัชนีชี้วัดความแพงของหุ้นก็คือจำนวนหนังสือหุ้นที่ออกใหม่@#$%!^&*)กลับมาเข้าเรื่องหนังสือของเราดีกว่า เดี๊ยวจะไปไกล - -''

หนังสือ "รวยหุ้นล้นฟ้า ด้วยระบบคิดใหม่"เขียนโดยคุณพิชัย จาวลา เป็นนักลงทุน นักธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเจ้าของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แห่งความจริงหรือที่เขาเรียก "ระบบผลประโยชน์"

ในหนังสือเล่มนี้ ถือเป็นหนังสือที่ฉีกแนวออกไปจากหนังสือหุ้นที่วางขายอยู่พอสมควร เพราะพิชัยได้พยายามชี้ให้ผู้อ่านเห็นถึงความจริงอันลึกลับที่ซ่อนอยู่ในตลาดหุ้น ซึ่งเขากล่าวว่าหากคุณเข้าใจความลับข้อนี้ก็จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างแน่นอน (อ่านมาถึงตรงนี้ เริ่มสับสนว่า นี่เรากำลังอ่านหนังสือหุ้น หรือ หนังสือจิตวิทยาชื่อดัง "the secret" กันแน่....)

แต่พออ่านไปเรื่อยๆ เริ่มเข้าใจประเด็นที่พิชัย ต้องการจะนำเสนอ เขาบอกว่าในตลาดหุ้น แท้จริงแล้วคนที่ได้กำไรจริงๆ มีเพียงกลุ่มคน 3%(เงาที่มองไม่เห็นอย่างพวก hedge fund หรือพวกสถาบันการเงินต่างๆ เป็นต้น) เท่านั้น อีก 95% แน่นอนขาดทุน เพราะไม่งั้นคนรวยคงเต็มบ้านเต็มเมืองไปแล้ว!!! สาเหตุเป็นเพราะคนส่วนใหญ่มักพยายามอธิบายตลาดหุ้นด้วยเหตุและผล หุ้นขึ้นเพราะ.....หุ้นลงเพราะ...... ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ตลาดหุ้นไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลอย่างเฉพาะหน้า แม้ว่าระยะหลังนักลงทุนทั่วไปจะเริ่มปรับตัวที่จากเดิมเป็นแมงเม่าคือ ซื้อเมื่อข่าวดีออก และขายเมื่อมีข่าวร้าย ซึ่งแมงเม่าที่ทำแบบนี้แน่นอน ตายเรียบ!!!! จนในที่สุดแมงเม่าเริ่มพัฒนาเป็น ซื้อหุ้นเก็บเมื่อมีข่าวร้ายและขายเมื่อมีการประโคมข่าวดีเป็นวงกว้าง ซึ่งก็ดูเหมือนจะใช้ได้ผลดีกว่า แต่พิชัยบอกว่า นี่ก็ยังไม่ใช่คำตอบ???????

เวลาเราซื้อหุ้นเต็มพอร์ตด้วยความมั่นใจสูง หลังจากนั้นราคาจะลงทุกที และเวลาที่เราขายหุ้นหมดหรือหยุดซื้อ หลังจากนั้นราคาจะขึ้นทุกที ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเรายึดติดกับเหตุผล และละเลย "ระบบผลประโยชน์" ที่ทับซ้อนอยู่ เราลืมไปว่า เรากำลังเล่นกับคนที่เก่งกว่าเรามากๆในโลก ที่เป้าหมายของคนกลุ่มนี้คือทำกำไรจากเรา ดังนั้น เราต้องเฉลียวใจอยู่เสมอเวลาที่เราตัดสินใจเหมือนๆกับคนส่วนใหญ่ แม้เราจะตัดสินใจด้วยหลักเหตุผลก็ตาม แต่มันจะกลายเป็นผิดไปเสมอ

"ถ้าเชื่อว่าตลาดหุ้นเป็นภาพสะท้อนของความเป็นจริง เรากำลังหลงทางตั้งแต่บันไดขั้นแรก เพราะท้ายที่สุด นั่นอาจเป็นเพียงหลุมพลางที่ (กลุ่ม 3% ) เขาดักเอาไว้ โดยผ่านกระบวนการคิดหลายชั้นก่อนที่จะใช้มุมกลับในการทำกำไร"

พิชัยยืนยันว่า เราต้องเปลี่ยนจากการ วิเคราะห์"ข้อมูลข่าวสาร"มาเป็น วิเคราะห์"ผู้ใช้ข้อมูลข่าวสาร" เพื่อหลุดพ้นจากการเป็นคนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต้องขาดทุนเสมอในตลาดแห่งนี้ โดยเขาบอกว่าข่าวสารต่างๆที่ออกมาล้วนเป็นหลุมพลางของคนกลุ่ม 3%ที่ดักคนส่วนใหญ่ไว้แล้วทั้งสิ้น +++++

โดยเราต้องไม่ลืมว่า ทุกครั้งที่เราขายได้ แปลว่ามันมีคนมารับซื้อต่อ นั่นคือ ซื้อต้องเท่ากับขาย (คน 3% ขายในจำนวนหรือปริมาณเงินที่เท่ากับคน 97% ซื้อ และเช่นเดียวกัน คน 3% ซื้อเท่ากับที่คน 97% ขาย) ดังนั้นท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย มองไปทางไหนก็มีแต่วิกฤติ นักลงทุนทั่วไปต้องการขาย ขาย ขายทุกราคา ทำยังกับว่าจะไม่มีโอกาสได้ขายอีกแล้ว ก็อย่างที่บอก ซื้อต้องเท่ากับขาย ขายต้องเท่ากับซื้อ ในช่วงที่คนส่วนใหญ่ชลมุนกับการขายไม่เลือก ก็มีมือมืดที่มองไม่เห็น เข้ามาซื้อ ซื้อ และก็ซื้อ จนกว่าแรงขายจะหมด เมื่อนั้นไม่นาน ราคาจะกลับขึ้นมาพร้อมกับข่าวดีที่ทยอยประโคมกันออกมาจนราคาพุ่งสูงขึ้น เมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดนึง สถานการณ์ทุกอย่างดูดี ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง ทุกอย่างดูลงตัว บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าหุ้นต้องไปต่อ คนทั่วไปของตลาดก็จะเริ่มเข้าซื้อ และกลุ่มมือมืด 3% ก็มา Matching ขายให้เราเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆ ดัชนีเริ่มตกลง ลง ลง ข่าวร้ายเริ่มตามมา ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี นั่น นู่ นี่ เริ่มหาเหตุผลที่หุ้นจะขึ้นไม่เจอซะแล้วทีนี้ ทั้งๆที่ผ่านมาไม่กี่เดือน มันจะเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ (นั่นคือ ราคา จะเป็นตัวกำหนดสถานการณ์หรือข่าวสาร เหมือนกับทฤษฎีการตอบโต้สองทางของจอร์ส โซรอส )

โดยจะขอสรุปแนวทางการลงทุนที่พิชัยแนะนำให้ผู้อ่านใช้ ก็คือ เพียงตัดสินใจซื้อขายในด้านตรงข้ามกับคนทั่วไป (mass)โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล......

"ถ้าคนส่วนใหญ่เกินกว่า 97% ของตลาดขายกันอยู่เมื่อใด ราคาจะต้องขึ้นเท่านั้น จะเป็นอื่นไม่ได้"

ในหนังสือ พิชัยได้หยิบยกหลักฐานและตัวอย่างมากมายที่สนับสนุนแนวคิดของเขา ตรงจุดนี้ ต้องหาอ่านกันเอง พูดไม่หมดจริงๆๆ

"ถ้าเราสามารถซื้อในเวลาที่ใจเราเองกลัว ในขณะที่เหตุผลทุกสิ่งทุกข้อบ่งบอกชัดเจนว่าให้เราขายหรือรอ เท่ากับเราชนะใจตนเอง เราจึง ชนะทุกสิ่ง รวมถึงไม่ตกหลุมพลางของ กลุ่ม 3% นั่นด้วย"

หรือขอสรุปง่ายๆ คำเดียวเลยละกัน ว่า เราจะต้องไม่เป็น คนส่วนใหญ่ของตลาดนั่นเอง (mass)

By : 2Binvestor

หมายเหตุ : ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาชี้นำใดๆ และไม่มีผลประโยชน์จากการ review ทั้งสิ้น จุตประสงค์เพียงเพื่อต้องการให้นักลงทุนได้ไอเดียการลงทุนและทราบเนื่อหาคร่าวๆ ก่อนจะควักเงินซื้อหนังสือเท่านั้นเองงงง.........

Credit http://2binvestor.blogspot.com/2012/03/review.html