วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีการลงทุนของคุณวิบูลย์ WIBOO7



วิธีการลงทุนของคุณวิบูลย์
วิธีการลงทุนของคุณวิบูลย์
ต้องขอโทษครับที่ตอบช้า ผมไม่ค่อยได้เข้าเน็ต ยกเว้นเวลาทำงานก็เลยกลัวเจ้านายว่าเอา ต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่สามารถยกตัวเป็นผู้รู้ที่แท้จริงได้ เพราะได้แต่อ่านหนังสือการลงทุนหลายๆเล่ม (ประมาณ 30 เล่ม ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) และทดลองวิชาด้วยตัวเอง เคยอ่านกระทู้หลายๆกระทู้แต่ไม่กล้าตอบเพราะยังลองวิชาอยู่ แต่หัวข้อหลายๆหัวข้อน่าสนใจมากครับ ปัจจุบันมีพอร์ตการลงทุนอยู่ไม่กี่ล้านบาท ถืออยู่ 3-4 บริษัท ยังไม่ขาดทุนครับ และผมคิดว่าวิธีการลงทุนของผมที่ไม่เปลียนบริษัทบ่อยๆ และ ถือยาวๆ ไม่มีวันขาดทุน กำไรน้อยกำไรมากก็แล้วแต่จังหวะของแต่ละคน
ผมขายหุ้นน้อยมากแทบไม่ขายเลย ถ้าปัจจัยระยะยาวของบริษัทไม่เปลี่ยน ส่วนใหญ่จะซื้อเพิ่มมากกว่า เคยคุยกับเพื่อนเรื่องการลงทุนแนวนี้ มันกลับหาว่าผมบ้า ญาติพี่น้องก็ดูแคลนว่าวิธีนี้ใช้กับตลาดเมืองไทยไม่ได้ แต่ผมก็ยังคงยึดแน่นกับการลงทุนแนว Value อย่างเหนียวแน่นโดยถือเอา Warren Buffet และ Phillip Fisher เป็นปรามาจารย์ ขอต่อกระทู้ต่ออีกอันนะครับ เจ้านายเรียก
ปัจจัยและเครื่องมือในการเฟ้นหุ้นดี
ในหนังสือ Company Handbook จะมีรายละเอียดและการวิเคราะห์คร่าวๆของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด แต่ข้อมูลบางอันจะผิดนะครับต้องระวัง แต่ผมคิดว่าเราสามารถลดเวลาวิเคราะห์ลงไปได้มากมากเลยครับ ผมทนอ่านข้อมูลของทุกบริษัทเลยครับ ใช้เวลาหลายวัน พบบริษัทดีๆมากมาย ปัญหาคือมันเป็นบริษัทที่ผมไม่รู้จักทั้งชื่อบริษัทและสินค้าที่บริษัทผลิต ผมไม่ลงทุนในบริษัทที่ผมไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าหรือบริษัทที่ผมไม่เคยใช้ สินค้าและบริการแน่นอน แต่ผมก็ดึงบริษัทเหล่านั้นออกมาเป็น Watch List ของผมและจะใช้เวลาศึกษาบริษัทเหล่านั้นให้มากขึ้นก่อนลงทุน
ข้อผิดพลาดของนักลงทุนส่วนใหญ่คือเราสนใจในราคาหุ้นมากเกินไป มากกว่าผลประกอบการของบริษัท และถึงแม้เราจะสนใจผลประกอบการของบริษัท เราก็สนใจในกำไรต่อหุ้นแต่ละไตรมาศมากเกินไป ทำให้เราลืม Longterm Economic ของบริษัทนั้นไป ทำให้บริษัทดีๆมีราคาต่ำเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของมัน และสิ่งนี้ทำให้ Buffet กลายเป็นมหาเศรษฐีของโลก
ขอให้ผู้สนใจอ่านดูในรายชื่อบริษัทใน Company Handbook ว่ามีบริษัทไหนบ้างที่เรารู้จักชื่อบริษัทและสินค้าเป็นอย่างดี บอกตัวเองว่าเราจะไม่ลงทุนในบริษัทที่เราไม่รู้จัก
สมมุติว่าเป็นบริษัท ก ที่เรารู้จักเพราะใช้สินค้าบริษัทนี้มานานและเพื่อนๆก็ใช้สินค้าชนิดนี้เหมือนกัน
อันดับแรกดูที่โปรไฟล์สั้นๆด้านบนซ้ายมือว่านอกจากสินค้าที่เราใช้แล้ว บริษัทนี้ยังทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า
ดูแล้วก็จำเอาไว้ท่องให่ขึ้นใจ และลองถามๆคนที่เคยใช้สินค้าและบริการว่าใช้ดีหรือเปล่า (Phillip Fisher เรียกขบวนการนี้ว่า Scatterbut)
จากนั้นดูที่ผู้ถือหุ้นและกรรมการครับว่ามีใครที่เราเคยเห็น เคยฟัง เคยคุย เคยได้ยินว่ามีคดีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในทางไม่ดีบ้างหรือไม่ ผมเดาเอาว่าส่วนใหญ่เราคงไม่เคยได้ยินชื่อคนเหล่านี้
ให้ข้ามตารางราคาหุ้นไปก่อน (บางทีผมก็แอบดูก่อนเหมือนกัน)
แต่ตอนแรกๆต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับแต่ละรายการของเค้าพอสมควร ว่าอะไรเป็นอะไร ละใช้อะไรมาคิด ratio
จุดนึงเลยที่เห็นได้ชัด ROE ROA เค้าใช้ กำไรก่อนภาษีและดอกมาคำนวน
และก็ E กะ A ก็ไม่ได้ใช้ของปีปัจจุบันปีเดียวแต่จะใช้ ของปีนี้เฉลี่ยกะปีที่แล้ว
ให้ดู Profit Margin ผมชอบหุ้นที่มีมาร์จินเยอะๆ เกิน 10% ครับ
อีกตัว ดู Return on Equity (ROE) ครับ ตัวนี้หมายถึงผู้บริหารนำเงินลงทุนเราไปจัดการได้ดีแค่ไหน ผมขอเกิน 15% ครับ แต่ขอแบบสมำเสมอนะครับ ไม่ใช่ปีนี้ 25% แต่ปีที่แล้ว 5%
ข้อมูลใน Company Handbook คงใช้ได้คร่าวๆ แต่เราต้องทำการบ้านต่อครับ ข้อมูลในนั้นไม่เพียงพอให้เราหา Intrinsic Value ครับ
ข้อมูลในหนังสือไม่พอ ต้องใช้ Cashflow Statement ด้วยครับตัวนี้สำคัญมาก เพื่อหามูลค่าของกิจการ
ลงทุนในธุรกิจที่เราถนัดดีกว่าครับ
ผลการประกอบการ
มีผลประกอบการปี 2002 รายไตรมาศให้ดูเล่นๆ แต่ผมคิดว่าผลประกอบการปีเดียวคงมีประโยชน์ไม่เท่าไหร่
ให้ดูที่หน้าสองขวามือ ดูยอดขายในช่วงห้าปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ถ้าขึ้นเรื่อยๆก็น่าสนใจ ถ้าตกลงเรื่อยๆก็ขอลาก่อน
Income Statement
ดูใน Income Statement ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่นมี Opearting Expense ที่ไม่ inline กับยอดขาย เราคงดูรายละเอียดในที่นี้ไม่ได้ต้องดูผลประกอบการฉบับเต็ม
มาถึงสิ่งที่คนสนใจมากที่สุด ดูกำไรครับ ถ้าขาดทุนทุกปีหรือขาดทุนปีเว้นปี ผมก็ขอลาก่อนเหมือนเดิม ยกเว้นผู้รู้ที่ต้องการหา Turnaround Stock แต่ผมขอบาย Warren Buffet บอกว่า Turnaround mostly never trun
Peter Lynch ซื้อ Chyrsler ครับแต่ ปรามาจารย์ Buffet เราไม่เคยชายตาดูหุ้นตัวนี้เลยครับ ขอบอก
Balance Sheet
มาถึง Balance Sheet ดู Working Capital ว่าเป็นบวกหรือเปล่า แต่มีบางบริษัทที่เก็บเงินลูกค้าก่อนแต่จ่ายเงินซัพพลายเออร์ทีหลัง Working Capital ก้อาจเป็นลบได้ เช่นพวก Discount Store พวกนี้เอาเงินลูกค้าไปหมุนเล่นก่อนสัก 3 เดือนก่อนจ่ายซัพพลายเออร์ ซัพพลายเออร์มีแต่ซีดกับซีดเวลาทำธุรกิจกับพวกนี้
ดูหนี้ Debt (Long-term Debt) ว่าเป็นกี่เท่าของกำไรสุทธิ คนส่วนใหญ่ชอบดู Debt/Equity Ratio อย่างพวกนักวิเคราะห์ตาม Broker ทั้งหลาย แต่ผมไม่ได้คิดจะ Liquid บริษัทผม ผมจึงสนใจ D/E มากกว่า ถ้ามากก็ขอลาก่อน ชาตินี้คงไม่มีวันใช้หนี้หมด
ดู Retain Earning ว่าเพิ่มขึ้นทุกปีหรือเปล่า ถ้าลดลงต้องถามว่าเอาไปทำอะไร
ดู Share Holder Equity ว่าสอดคล้องกับ Retain Earning หรือไม่
มชักเหนื่อยในการพิมพ์แล้วครับ ผมไม่ชอบบอกรายชื่อหุ้นตรงๆหรอกครับ เพราะแต่ละคนมี Circle of Competence ไม่เหมือนกัน ผมถือว่าถ้าอยากเป็นนักลงทุนต้องทำการบ้านครับ ไม่ใช่ซื้อหุ้นตามพรายกระซิบ ถ้าไม่อยากทำการบ้าน ผมแนะนำให้ซื้อกองทุนครับ ไม่ต้องมาลงทุนให้เสี่ยงขาดทุนเปล่าๆ หรือนอนไม่หลับเวลาหุ้นตก สำหรับผมเอง ถ้าตลาดหุ้นปิดไปสามปีผมยังเฉยๆ ทุกวันนี้หลับสบายทุกวันครับไม่ว่าหุ้นจะขึ้นจะลง
Long Term Debt คือ Total Debt ในหนังสือครับ
D/E ของผม หมายถึง Debt/Earning (Debt/Net Profit) ครับ ต้องหารเอาเองครับ
ในหนังสือจะเป็น total debt % equity = Debt/Equity ครับ
ผมสนใจ Debt/Earning ครับว่าบริษัทเรามีความสามารถในการจ่ายหนี้เท่าไหร่ Worst Case Senario คือว่าถ้านำกำไรที่ได้แต่ละปี ไปจ่ายหนี้หมดจะใช้เวลากี่ปี สำหรับผม ผมยอมอดค่าขนมได้ไม่เกิน 3-4 ปีครับ
ทำไมคุณ VIB007 ใช้ Earing ในการคำนวณ ว่าบริษัทจะใช้เวลากี่ปีถึงจะชำระหนี้หมดละครับ ในเมื่อ Earing ไม่ใช้เงินสดรับของกิจการนี่ครับ ผมจะใช้ Free Cash Flow เป็นตัวคำนวณมากกว่าครับ คือ Total Debt/ Free Cash Flow ครับ น่าจะได้ค่าที่ใกล้เคียงกว่านะครับ
ในการคำนวณหามูลค่ากิจการนั้น ผมจะใช้ Discount Free Cash Flow รวมกับ Net Cash เป็นหลักครับ ผมคิดเหมือนกับผมเป็นเจ้าของกิจการคนเดียว ผมลงทุนในกิจการ (ราคา*จำนวนหุ้น ซึ่งก็คือ Market Cap. ของกิจการนั้นเอง) แล้วผมได้รับผลตอบแทนเท่าไร (ผลตอบแทนในที่นี้ ผมหมายถึงเงินสดที่อยู่ในกิจการ ถึงแม้จะยังไม่ได้จ่ายปันผลมาให้ก็ตาม)
คุณชาติชายครับ ต้องยอมรับว่าคุณชาติชายยอดเยี่ยมมากที่จับผิดได้ ถูกแล้วครับ จริงๆต้องใช้ Free Cash Flow เป็นตัวหาร Debt ถึงจะถูกต้องที่สุด แต่ที่ผมให้ดูโดยใช้ Earning เป็นตัวหารเพราะดูง่ายเป็นการใช้อย่างง่ายๆดูอย่างรวดเร็ว สำหรับมือใหม่นะครับ แล้วข้อมูลใน Company Handbook ก็ไม่ได้แสดง Free Cash Flow ให้ดูด้วยครับต้องคำนวณจาก Cashflow Statement ที่ไม่ได้แสดง
การหา Discount Free Cashflow จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่ายเพราะหลักการไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ตัวแปรต่างๆจะทำให้การหามูลค่าผิดกันยังกับฟ้ากับดิน เช่น การใช้ Discount Rate ที่ 10% และ 15% ก็ให้ตัวเลขกิจการที่ต่างกันมากเป็นเท่าตัวทีเดียว
ผมว่าคุณชาติชายมีความรู้ขนาดนี้ ต้องเปิด Course สอนเรื่อง Valuation เป็นวิทยาทานแก่น้องๆ แล้วละครับ
อยากถามเพื่อนๆว่ามีใครร่อนตระแกรงแล้วเจอธุรกิจที่เข้าตาหรือยังครับ (ขอให้ลืมราคาหุ้นชั่วคราว เรานักลงทุนคุณค่าควรสนใจธุรกิจมากกว่าราคาหุ้นครับ) โพสมาคุยกันหน่อย
หลักปฎิบัติสำหรับ Value Investor
ผมคิดว่าทุกคนอยากประสบความสำเร็จจากการลงทุน แต่ส่วนใหญ่มีความอดทนไม่พอ เราทนเห็นราคาหุ้นที่เราถืออยู่ตกไม่ได้ เราทนเห็น SET INDEX พุ่งแซงหน้าเราไปไม่ได้ เราทนการยั่วยวนของการทำกำไรจากหุ้นที่เราถืออยู่ไม่ได้ ทำให้เราหลุดออกจากแนวทางของ Value Investing และผมก็เห็นมากับตาที่เห็นคน Value หันไปเล่นเก็งกำไรอย่างสนุกสนานในช่วงนี้
หลักปฎิบัติสำหรับ Value Investor คือ
รู้จักบริษัทของคุณเป็นอย่างดี
ผู้บริหารไว้ใจได้แค่ไหน
ราคาเป็นสิ่งสุดท้ายที่ Value Investor จะดู ขณะที่นักลงทุนแนวอื่นจะดูราคาก่อนสิ่งใด
ถือหุ้นให้นานที่สุดเพื่อให้บริษัทที่ถืออยู่แสดงศักยภาพในระยะยาวออกมา
คุณเป็นนักลงทุนแบบไหน?
Phillip Fisher บอกเอาไว้ว่าต้องถือหุ้นอย่างน้อย 3 ปี ระยะเวลาที่ต่ำกว่านั้นจะไม่พอสำหรับโครงการหรือสิ่งต่างๆที่บริษัททำอยู่จะ แสดงผลระยะยาวออกมา
คุณถือหุ้นตัวหนึ่งนานแค่ไหน?
ถ้าไม่มีก็อย่าท้อ เฝ้าค้นหาและศึกษา สักวันโอกาสจะเป็นของเรา
Warren Buffet บอกว่าถ้าทนเห็นหุ้นที่เราถืออยู่ราคาตกลงไป 50% แล้วเฉยๆไม่ได้ แสดงว่าเราไม่พร้อมสำหรับตลาดหุ้น (Warren แนะนำให้คุณออกจากตลาดไปเลยครับ)
คุณธันวาครับ ผมว่าตะแกรงตัวแรกน่าจะเป็นตัวเราเองแทนที่จะเป็นตัวบริษัท ว่าเรามีความพร้อมแค่ไหนในทางจิตวิญญานที่จะยึดมั่นในแนวทางและทนต่อความ ขึ้นๆลงๆของตลาดหุ้นได้
หลังจากร่อนตัวเราเองแล้ว เราก็มาดูบริษัทที่เราจะฝากผีฝากไข้ดูแลเงินลงทุนของเราไปสัก 10-20 ปีว่ามีหรือเปล่า (ผมหมายถึง 10-20 ปีจริงๆนะครับ) เหมือนเราร่วมลงทุนเป็นเจ้าของบริษัทหนึ่ง โดยที่เราไม่ต้องไปบริหารเอง แต่ผู้บริหารจะนำเงินเราไปจัดการให้การผลิตสินค้าและบริการสำหรับผู้บริโภค ถ้าผู้บริหารทำได้ดี บริษัทก็จะเติบโตขึ้น ส่วนลงทุนของเราก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผลที่มากขึ้น รวมถึงมูลค่าของบริษัทก็จะมากขึ้น (ราคาหุ้นสูงขึ้น) แต่ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้น 50-100% ในหนึ่งเดือนเหมือนปัจจุบันนี้ ผมขอเรียกมันว่าความบ้าคลั่งครับขอให้ระวัง
คุณมีบริษัทที่คุณฝากชีวิตแล้วหรือยังครับ?
ถ้ามี ก็ลุ้นให้บริษัทของเราเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ (ผลประกอบการดีขึ้นเรื่อยๆนะครับ ไม่ใช่ราคาหุ้นระยะสั้นพุ่งไม่ยอมหยุด)
ถ้าหุ้นราคาตกจะทำอย่างไรดี
คุณวิบูลย์
เห็นหุ้นที่เราถืออยู่ตกไป 50% ผมเฉยๆไม่ได้หรอกครับ และก็ไม่ยอมออกจากตลาดด้วย
เมื่อราคาหุ้นบริษัทที่ผมถือตก 50% ผมทำสองอย่างครับ
1) หาข้อมูล
- ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทฯอย่างละเอียดอีกครั้ง
หาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมมันตกไป 50% ได้
2) ปฎิบัติการ
- ถ้าตกเพราะบริษัทพื้นฐานเปลี่ยนถาวร ขายหมดพอร์ต
- ถ้าตกเพราะตลาดตื่นตกใจ แต่พื้นฐานบริษัทยังดี ซื้อเพิ่ม
การคำนวณมูลค่าที่แท้จริง วิบูล : ขาดทุนเกิน 50% warrant buffet :