วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ความสำคัญของ biz model และ brand


นักลงทุนหลายคนอาจจะชอบดูอัตราส่วนทางการเงินและวิเคราะห์ความถูกหรือความแพงของหุ้นจากอัตราส่วนทางการเงิน หรือตัดสินว่าบริษัทมีศักยภาพสูงจาก roa และ roe วันนี้ผมจะลองนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับ biz model ของหุ้นว่าหุ้นที่ธุรกิจแตกต่างกันจะมี financial ratio ต่างกันอย่างไรบ้าง

-หลายคนชอบดู bv แล้วประเด็นคือ bv ใช่ในการลงทุนได้จริงไหมเช่น
หุ้นโรงแรม e มี pbv ถูกกว่าหุ้นโรงแรม m แบบนี้เราจะบอกว่าหุ้นโรงแรม e ถูกกว่า m ได้ไหม
ประเด็นคือ โรงแรม e ไม่ได้มีแบรนที่แข็งแกร่งอะไร แต่โรงแรม m มีแบรนเป็นของตัวเองและใช้แบรนนั้นในการรับจ้างบริหารและทำให้โรงแรม m สามารถเติบโตได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนหนักเพราะการที่มีแบรนนั้นเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ในงบดุล แต่เป็นสิ่งที่ทำเงินทำทองให้บริษัทได้
ถ้าเราให้ pbv เท่ากันแบบนี้เราจะไม่ให้คุณค่าอะไรกับการที่โรงแรม m มีแบรนเป็นของตัวเองที่แข็งแกร่งแล้วนำไปใช้หารายได้เพิ่มได้เลยหรือ ถ้าเมีคนสองคนจะเขียนหนังสือ pocket book ขาย คนนึง no name กับอีกคนเคยเป็นตัวประกอบในภาพยนต์มี fan page ที่มีคนกด like เป็นหมื้่นคน ถ้าออก pocket book มาใครจะขายดีกว่า แล้วชื่อเสียงถือว่าจับต้องได้ไหม ไม่ได้เพราะเป็นสิ่งสมมุติแต่ใช้หารายได้ ได้ไหมคำตอบคือได้แล้วถ้าเราวิเคราะห์แนวโน้มอนาคตของคนที่จะสร้างรายได้เราควรจะรวมสิ่งที่ใช้หาเงินได้แต่จับต้องไม่ได้เข้าไปด้วยไหม
นอกจากนี้โรงแรม m ก็มีธุรกิจอาหารจานด่วนที่ไม่ใช่ cycle เหมือนโรงแรม e เป็นธุรกิจที่โตไปเรื่อยๆดังนั้น bv ของโรงแรม m คงไม่สามารถเปรียบเทียบกับโรงแรม e ที่เป็น pure hotel ได้

-หุ้นประกันชีวิตขายเบี้ยแล้วได้รับเบี้ยต่อเนื่องทบต้นขึ้นเรื่อยๆบริษัทมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ถ้าเรามองว่า pbv สูง เราต้องถามว่าจริงๆ bv ของเขาคืออะไร bv ของเขาไม่ได้สะท้อนเบี้ยรับที่จะได้เพิ่มต่อเนื่องมาอีกหลายๆปีข้างหน้าซึ่งทำให้เขามีเงินลงทุนมากขึ้น แล้วแบบนี้เราควรดู bv เป็นประเด็นสำคัญไหม ถ้าเราบอกว่าสำคัญแสดงว่าเราตีมูลค่าของบริษัทที่หยุดผลิตเงินสดให้เรากับบริษัทที่ผลิตเงินสดต่อเนื่องให้เราได้เท่ากันงั้นหรือ

-ถ้าหุ้นตัวนึงเรารู้ว่าเขาซื้อของมาราคาแพงเขาไซฟ่อนเงินของ 100 บาทเขาซื้อมา 200 บาท bv เขาบันทึกของแพงกว่าจริงเยอะ ถ้าเราคิดว่า bv คือของจริง ทั้งๆที่เป็นของแพงเกินจริงเปรียบเหมือนมีคนเอาของ 1 บาทมาขายเราสองบาทเราจะซื้อไหม เราจะซื้อเพราะเขาบอกว่ามัน 2 บาท หรือเราจะไม่ซื้อเพราะเรารู้ว่าจริงๆมันแค่ 1 บาท

-roa ถ้าโรงพยาบาลแห่งนึงมี roa 15% กลับบริษัทรับจ้างผลิตแห่งนึงมี roa 15% เราคิดว่าเหมือนกันไหมถ้าเหมือนกันต้องถามว่าถ้าเราใช้เงิน 1000 ล้านแล้วเราสร้างกำไรได้ 150 ล้านเท่าบริษัทรับจ้างผลิตไหมถ้าได้ก็แสดงว่า roa แบบนี้ธรรมดาเลียนแบบกันได้ไม่ยาก แต่ถ้าเราใช้เงิน 10000 ล้านสร้างกำไรไม่ได้ 1500 ล้านเหมือนโรงพยาบาลแห่งนึงเพราะว่าไม่มีคนเชื่อถือโรงพยาบาลของเราเพราะโรงพยาบาลเราไม่มีชื่อเสียง ไม่มีหมอเก่งๆอยากมาทำงานด้วย แบบนี้ roa ของโรงพยาบาล 15% แสดงว่ามี premium มากกว่า 15% ของหุ้นรับจ้างผลิตถูกไหม
-บริษัทผลิตขนมปังแห่งนึงถ้าเราดูว่าเขามี roa เท่าไหร่ดูเผินๆก็อาจจะไม่มีอะไร แต่บริษัทเขาขายขนมปังได้ทั่วประเทศแสดงว่าระบบ logistic ของเขาต้องดีมากเพราะความสำคัญของขนมปังคือความสด ถ้าว่าถ้าเราลงทุน asset เท่ากับเขา เราจะมีระบบ logistic ดีเท่ากับเขาได้หรือ เราจะมีแบรนขนมปังที่ผู้บริโภคมักมองหาแบบเขาได้หรือ ถ้าไม่ได้แสดงว่าธุรกิจมีแบรน
-roe สูง หลายคนชอบหุ้น roe สูงๆแต่มีประเด็นอะไรบ้างที่ต้องดู บริษัทกลุ่มสิ่งพิมพ์แห่งนึงมี roe 30% ต่อเนื่องแต่ทุนของบริษัทไม่เพิ่มขึ้นเลยเพราะบริษัทจ่ายปันผลออกมาหมดแบบนี้กำไรไม่โตบริษัทก็มี roe ที่สูงต่อเนื่องได้ แต่บริษัทอื่นๆที่ปันผลต่อๆ ลองยกตัวอย่างแบบสุดโต่งไม่ปันผลเลย แล้วบริษัทมี roe 20% ต่อเนื่อง ถ้าแต่เดิมบริษัทมีทุนอยู่ 1000 ล้านและทำกำไรได้ 200 ล้านก็มี roe 20% ถ้าบริษัทไม่ปันผลเลยแล้วจะ maintain กำไรระดับ 20% ปีต่อไปบริษัทจะมีทุน 1200 ล้านและมีกำไร 240 ล้านเพื่อ maintain roe ระดับ 20% ถ้าบริษัท maintain ได้ 5 ปีลองคิดดูว่า wealth ผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขนาดไหน
-บริษัทสำรวจและขุดเจาะมีไม่ต่ำ roe 20% ต่อเนื่องยาวนานและมี npm 30% ต่อเนื่องยาวนานทั้งๆที่เสีย tax ถึง 50% แสดงว่าบริษัทมี model ทางธุรกิจที่ดีเนื่องจากการขุดก๊าซธรรมชาติต้องได้สัมปทานบริษัทมีสัมปทานในอ่าวไทยและพม่าถามว่าถ้าราคาน้ำมันขึ้นอยู่ๆจะมีคนไปขุดก๊าซทีพม่าจะเกิดอะไรขึ้นคำตอบคงไม่พ่นโดนยิงเพราะก๊าซเป็นสำหรับของประเทศ ในทางกลับกันโรงกลั่นกับปิโตรเคมีถ้ากำไรดีก็จะมีการสร้างโรงงานซึ่งทำให้ไม่สามารถ maintain npm และ roe ที่สูงได้ แบบนี้เราจะเหมาว่าหุ้นที่สามกลุ่มนี้น่าลงทุนเท่ากันเพราะมีบริษัทแม่แบบเดียวกันได้หรือไม่
-ถ้าเราบอกว่าร้านสะดวกซื้อแห่งนึงมี pbv สูงจึงไม่น่าลงทุน แต่จริงๆแล้วร้านสะดวกซื้อมีอำนาจต่อรองสูงมากและไม่ต้องลงทุนหนักในการขยาายธุรกิจเพราะใช้การเช่า ร้านสะดวกซื้อเพิ่มมาร์จิ้นได้โดยการขายสินค้าแช่แข็งและแซนวิช และสามารถทำสินค้า house brand ได้เองและร้านสะดวกซื้อก็จะรู้ต้นทุนของสินค้าที่นำมาขายมากขึ้นแบบนี้มีอำนาจต่อรองสูงขึ้น แบบนี้ถ้าเราใช้เงินลงทุนในการทำร้านสะดวกซื้อบ้างโดยเงินลงทุนเท่ากับ bv ของร้านสะดวกซื้อเราจะทำกำไรได้แค่กี่% ของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้
-ถ้าธุรกิจอิเล็กทรอนิกมี pbv ที่สูงเพราะบริษัทมี growth ต่อเนื่องหลายปีเราก็เลยคิดว่าธุรกิจนี้มี barry to entry ทั้งๆทีจริงๆแล้วมันไม่มี เหมือนหุ้นที่ผลิต pcba ที่อยู่ๆลูกค้าก็ถูก take over 5 รายโดยที่ลูกค้า 5 รายมียอดขายประมาณ 50% ของบริษัทหายไปเพราะคนที่มา take เปลี่ยนนโยบายไปซื้อสินค้าจากเจ้าอื่น แบบนี้ถ้าเราให้ premuim กับหุ้นตัวนี้สูงมากๆเราก็เจ็บหนักได้เพราะธุรกิจลักษณะนี้พึ่งพิงลูกค้าไม่กี่รายซึ่งไม่เหมือนบริษัทร้านสะดวกซื้อหรือขายขนมปังหรือโรงพยาบาล

-ธุรกิจอิเล็กทรอนิกและยานยนต์เป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนหนักตลอดเวลาอย่างหุ้นผลิต pcba ที่เคยเป็นนางฟ้ามาก่อนระหว่างเติบโตก็ต้องมีการจ่าย stock dividend ซึ่งทำให้ dilute eps หรืออย่างหุ้นผลิตเพลาข้างจะลงทุนเครื่องจักรสำหรับผลิต model รถรุ่นใหม่ๆก็ต้องเพิ่มทุนผ่านการออก t-1 และหุ้นฉายา ดาวน้อย ก็เป็นหุ้นที่ไปเพิ่มทุนที่ราคาเกือบ peak เหมือนกัน ดังนั้น long-term ของบริษัทเหล่านี้แม้ว่าจะโตได้แต่ก็จะมี share เพิ่มขึ้นซึ่งต่างจากหุ้นเติบโตที่ใช้เงินลงทุนน้อยดังนั้นหุ้นแบบนี้ก็ควรจะมี pe ต่ำกว่า

จะเห็นได้ว่าถ้านักลงทุนเข้าใจ model ธุรกิจและเรื่องของแบรนแล้วน่าจะทำให้นักลงทุนเข้าใจการให้ค่า pe pbv ของตลาดมากขึ้น
Credit http://hongvalue.wordpress.com