1. ทุกครั้งที่ปันผล ในวันที่ปันผลหุ้นจะลงมากกว่าเงินปันผล เช่น ปันผล 1 บาท หุ้นจะลงประมาณ 1.3 บาท ควรซื้อเก็บ เพราะได้หุ้นถูกกว่าตลาด เฉพาะหุ้นที่ปันผลและประกาศผลประกอบการวันเดียวกัน ถ้าต่างวันอาจได้หุ้นแพงเพราะหุ้นปรับตัวขึ้นมาก่อนได้รับปันผลแล้ว
2. เมื่อหุ้นขึ้นให้ขายช้า เมื่อหุ้นตกให้ขายเร็ว เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ควรปล่อยให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆไม่ต้องรีบขายทำกำไร แต่เฝ้าดูตลาดอย่างใกล้ชิด แต่หากเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงหรือเข้าจังหวะในการลงทุนผิด ต้องตัดขายให้เร็ว
3. ซื้อเมื่อหุ้นมีราคาต่ำ ขายหุ้นเมื่อหุ้นมีราคาสูง สิ่งที่นักลงทุนในระยะสั้นต้องจดจำคือ เมื่อแนวโน้มระยะสั้นราคาอ่อนตัว ให้ซื้อลงทุนได้ อย่าซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าราคาต่ำ และอย่าขายเพราะเห็นว่าหุ้นราคาสูงโดยไม่พิจารณาปัจจัยต่างๆให้ถ่องแท้
โดยไม่ควรนำเอาอดีตที่ราคาหุ้นได้ตกลงมาถึงจุดที่เคยลงมา และไม่ควรคิดว่าราคาหุ้นจะไม่สามารถผ่านจุดที่เคยขึ้นไปถึงได้ เพราะจุดที่ต่ำสุดมักมีจุดที่ต่ำยิ่งกว่า
4. เทคโอเวอร์ ข่าวอันตราย การตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นต้องอยู่ที่ตัวเองเท่านั้น ไม่ควรที่จะเชื่อข่าวลือต่างๆ ที่ทำให้หลงให้เราเข้าไปติดหุ้น
5. บันทึกคำสั่งซื้อขายทุกครั้งเพื่อเป็นหลักฐานต่อไป
6. หุ้นขาขึ้นให้ทยอยซื้อ ขา ลงให้ขายครั้งเดียว ขาลง…มีแต่ข่าวร้ายทั้งในประเทศและทั่วโลกที่กระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน และให้ผลร้ายกับระบบเศรษฐกิจ ฝรั่งเทขายไม่ยั้ง บาทอ่อน เงินไหลออก นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน ตลาดเป็นหมี มีแต่แรงขาย ไม่มีปัจจัยดี ๆ หรือด้านบวกมาหนุนตลาด เหตุการณ์ต่าง ๆ คลุมเครือ ตลาดมีแต่การ panic sale คือ มู้ดตลาดไม่ดี เคล็ดวิชา คือ ไม่ดี ไม่เล่น ไม่ถือหุ้น ราคาหุ้นต่ำ ๆ ถูก ๆ ก็ไม่ซื้อ…. เด้ง…(จาก low ดีดกลับขึ้นมาประมาณ 10 จุด +/-)คือ การที่ดัชนีมีการ panic sale แล้วเด้งระหว่างวัน หาไม่เก่งจริงก็ไม่แนะนำให้เล่น เพราะเสี่ยงมาก…โอกาสเสียมีมากกว่าได้… แต่… Oversold ให้ทยอยซื้อได้……รอสักวันสองวัน พอรีบาวน์ก็เอามาขายอีก
7. ถ้าเงินเหลือ ให้ดูหุ้นใหญ่ ptt scc advanc ให้ซื้อขวาครั้งละ 100-200 เพื่อทำ ดัชนีบวก ก่อนซื้อดูด้วยว่ามี bid หนากว่า offer หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ซื้อขวาเลย ถ้าไม่ใช่รอก่อน และถ้าไม่อยากถือให้ขายทิ้งตามน้ำเมื่อ bid บางกว่า offer และราคายังอยู่ฝั่ง bid อยู่ แต่ถ้าราคาอยู่ฝั่ง offer อย่าเสือ..กขายสวนลงไปล่ะ ดัชนีขึ้นสูง หุ้นที่ซื้อมี bid หนาและไม่ขึ้นตามดัชนี ทิ้งให้หมด
8. วิธีจับสังเกตวอลุ่มอย่างง่ายๆ สมมติว่าหุ้นตัวนี้เคยเทรดอยู่วันละ 1-2 ล้านหุ้น อยู่ดีๆวิ่งไป 15 ล้านหุ้น อย่างนี้บอกได้เลยว่าหุ้นตัวนี้มีคนเข้ามาเก็บ ต่อให้คุณมีข่าวดียังไง แล้วคุณประกาศออกมาแค่ไหน ถ้าไม่มีใครไปทำวอลุ่ม มันก็เทรดขนาดนั้นไม่ได้…”โดยธรรมชาติมันเป็นไปไม่ได้เลย”
9. “ซื้อหุ้นก่อนคนอื่น” จะเลือกหุ้นขนาดกลาง(ขึ้นไป)ที่พอมีสภาพคล่อง ดูประวัติการดำเนินงานย้อนหลัง(เน้นว่าต้องมี Growth) จากนั้นก็ไปดูว่าหุ้นตัวนี้เคยถูกไล่ขึ้นไปสูงสุดเท่าไร วันนี้ราคามันตกมาแล้วเท่าไร พอช่วงใกล้ๆ จะประกาศงบการเงินไตรมาส 3(กลางเดือนพฤศจิกายน) ก็พอจะคาดเดาได้ว่าหุ้นตัวนี้น่าจะประกาศงบออกมาดี ก็จะเข้าไปซื้อทิ้งเอาไว้ 2 เดือน 3 เดือนเดี๋ยวมันก็ขึ้น เล่นหุ้นเป็นรอบๆ อย่างนี้ผมได้กำไรตลอด
10. “แต่ถ้าเล่นหุ้นตอนที่เศรษฐกิจขาลงต้องซื้อหุ้น “Defensive Stock” เป็นหุ้นที่ผันผวนน้อยกว่าตลาด ผลประกอบการดี และยังให้เงินปันผลในอัตราที่ดีกว่าฝากแบงก์ จะเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ “ปัจจัย 4″ เช่น อาหาร พลังงาน โรงพยาบาล หุ้นพวกนี้เหมาะกับช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี”
-หุ้นแบงก์ สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ 3 กลุ่มนี้ต้องซื้อตอนที่เศรษฐกิจ “กำลังจะฟื้นตัว” หุ้นพวกนี้จะได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นค่อนข้างมาก
-กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มน้ำมัน หุ้นประเภทนี้ แนะนำว่า ต้องจับจังหวะลงทุนให้ดี หุ้นพวกนี้จะต้องเล่น “เป็นรอบ” ไม่เหมาะถือยาวๆ
-”หุ้นปันผล” จะเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ค่อยชอบเสี่ยง
-หุ้นเก็งกำไร “ตามข่าว” นักลงทุนจะต้องเร็ว ถ้าเข้าจังหวะผิดจะต้อง “ทิ้ง” ทันที
-อย่างช่วงที่ราคาน้ำมันแพง กลุ่มขนส่ง กลุ่มวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบ แต่ธุรกิจโรงกลั่นได้ประโยชน์ หรือช่วงที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น คนได้ประโยชน์มากที่สุดคือ “แบงก์” ส่วนต่างกำไรจะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นในเชิงกลยุทธ์กลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน น่าสนใจที่สุด”
-เคล็ดลับลงทุนเมื่อยามที่ตลาดหุ้นไร้ทิศทาง ควรเลือกหุ้นที่เป็น Value Stock ประเภท “จ่ายปันผลสูง” ต้องไม่ใช่ธุรกิจที่ผันผวนมากเกินไป ให้มองหาหุ้นที่มีรายได้มั่นคง แล้วทยอยสะสมเข้าพอร์ตในช่วงที่หุ้นตกเยอะๆ
11.”P/E” มาหารด้วย”G”(การเติบโตของกำไร)ถ้ายิ่งมันต่ำกว่า 1 เท่าลงมาแสดงว่าหุ้นตัวนั้นมีความน่าสนใจ เพราะการเติบโตของกำไรในอนาคตสูงกว่าพี/อี แต่ถ้าสูงกว่า 1 แสดงว่าพี/อีในปัจจุบันสูงกว่าการเติบโตของกำไรในอนาคต ความน่าสนใจหุ้นตัวนั้นจะน้อย
-สัดส่วนหนี้สินต่อทุนมาก(หนี้สูง) แสดงว่า”หน้าตักเขาน้อย” แต่จุดนี้ไม่ใช่จุดตัดสินว่าหุ้นตัวนั้นไม่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะหุ้นที่มี D/E เรโช”สูง”ถ้าธุรกิจเขามี Growth สูง มาร์จินสูง ธุรกิจเขาดี…..”ผมก็ถือว่าหุ้นตัวนั้นน่าสนใจ แต่ก็เสี่ยงตรงที่ถ้าดอกเบี้ยขึ้น หุ้นพวกนี้จะได้รับผลกระทบก่อนคนอื่น”
12. ถ้าอยากสบายตอนแก่ต้องมีรายได้ประจำไว้กิน 3 อย่าง
อย่างแรก “ต้องมีเงินฝากประจำเอาไว้กินดอกเบี้ย”
อย่างที่สอง “ต้องมีบ้านให้เขาเช่า เอาไว้เก็บค่าเช่ากินตอนแก่”
อย่างที่สาม “ต้องมีรายได้จากเงินปันผล”
13.อย่าไปแตะต้องหุ้นสถาบันการเงิน เพราะไม่มีวันรวยได้นาน เช่นพวกไฟแนนซ์ต่างๆ
14.ให้เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดี เราจะรู้ได้ยังไงว่าจ่ายปันผลดี ก็ต้องไปค้นประวัติว่าบริษัทนี้มีกำไรดีต่อเนื่องมาแล้วกี่ปี เราจะได้รู้ว่าบริษัทนี้มีรายได้มั่นคงแค่ไหน มีประวัติการจ่ายปันผลสม่ำเสมอมาแล้วกี่ปี ควรเลือกหุ้นที่มีหนี้น้อยๆ หุ้นหลายบริษัทจ่ายเงินปันผลดีมาก ดีกว่าฝากเงินกินเยอะ หุ้นอย่างนี้แหละที่น่าซื้อ พอซื้อแล้วให้ถือยาวไปเลย
ข้อสาม…ต้องไปสืบดูประวัติผู้บริหารว่าซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ ข้อนี้สำคัญมากทุกอย่างดีหมดถ้าผู้บริหารเอาเปรียบผู้ถือหุ้น หรือไม่โปร่งใส หุ้นอย่างนี้อย่าไปซื้อมัน บางบริษัทมีผู้บริหารไม่กี่คนจ่ายเงินเดือน จ่ายโบนัสกันเองปีละ 30-40 ล้าน แต่จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นนิดเดียว พวกมันเล่นรวยกันเองคนเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าพวก “โจร” แฝงตัวมานั่งบริหาร ระยะยาวหุ้นอย่างนี้ฉิบหายแน่ๆ
15..ต้องลดต้นทุนให้ต่ำลงตลอดเวลา นั่นคือ ต้องรู้จักดึงเงินทุนออกเหลือเอาไว้แต่กำไร ถึงหุ้นจะตกหนักแค่ไหน ก็ไม่เจ๊งก็เพราะรู้จักดึงทุนเก่าออก หุ้นที่ถืออยู่ส่วนใหญ่แทบไม่มีต้นทุนเหลืออยู่แล้ว เพราะถือมานาน ตัวไหนมีกำไรก็ขายออกเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น หรือเอาเงินปันผลของมันนั่นแหละซื้อหุ้นตัวเอง พอหุ้นลงก็ค่อยๆ ซื้อกลับ ต้นทุนของหุ้นก็จะค่อยๆ ต่ำลง
-สมมุติว่าซื้อหุ้นไว้ที่ราคา 30 บาท ได้เงินปันผลปีละ 10% ก็เท่ากับปีละ 3 บาท เอา 3 บาทไปซื้อหุ้นตัวมันเอง ถ้าทำอย่างนี้ 3 ปี เราก็จะได้หุ้นมากขึ้น ต้นทุนถูกลง ถ้าถือมา 3 ปี ราคาหุ้นขึ้นไป 60 บาท เราก็ขายหุ้นออกไปครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าหุ้นที่เราถืออยู่เป็นกำไรทั้งหมด เราไม่ต้องขายถือต่อไปยาวเลย แล้วก็เอาปันผลของมันซื้อตัวมันเอง ส่วนทุนเดิมของเราก็เอาไปลงทุนซื้อหุ้นตัวอื่นอีก ถ้าราคาลงมาเราก็ค่อยๆ ซื้อกลับเข้าไปอีก ไม่ต้องรีบร้อนซื้อตอนราคาแพง
2. เมื่อหุ้นขึ้นให้ขายช้า เมื่อหุ้นตกให้ขายเร็ว เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ควรปล่อยให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆไม่ต้องรีบขายทำกำไร แต่เฝ้าดูตลาดอย่างใกล้ชิด แต่หากเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงหรือเข้าจังหวะในการลงทุนผิด ต้องตัดขายให้เร็ว
3. ซื้อเมื่อหุ้นมีราคาต่ำ ขายหุ้นเมื่อหุ้นมีราคาสูง สิ่งที่นักลงทุนในระยะสั้นต้องจดจำคือ เมื่อแนวโน้มระยะสั้นราคาอ่อนตัว ให้ซื้อลงทุนได้ อย่าซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าราคาต่ำ และอย่าขายเพราะเห็นว่าหุ้นราคาสูงโดยไม่พิจารณาปัจจัยต่างๆให้ถ่องแท้
โดยไม่ควรนำเอาอดีตที่ราคาหุ้นได้ตกลงมาถึงจุดที่เคยลงมา และไม่ควรคิดว่าราคาหุ้นจะไม่สามารถผ่านจุดที่เคยขึ้นไปถึงได้ เพราะจุดที่ต่ำสุดมักมีจุดที่ต่ำยิ่งกว่า
4. เทคโอเวอร์ ข่าวอันตราย การตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นต้องอยู่ที่ตัวเองเท่านั้น ไม่ควรที่จะเชื่อข่าวลือต่างๆ ที่ทำให้หลงให้เราเข้าไปติดหุ้น
5. บันทึกคำสั่งซื้อขายทุกครั้งเพื่อเป็นหลักฐานต่อไป
6. หุ้นขาขึ้นให้ทยอยซื้อ ขา ลงให้ขายครั้งเดียว ขาลง…มีแต่ข่าวร้ายทั้งในประเทศและทั่วโลกที่กระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน และให้ผลร้ายกับระบบเศรษฐกิจ ฝรั่งเทขายไม่ยั้ง บาทอ่อน เงินไหลออก นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน ตลาดเป็นหมี มีแต่แรงขาย ไม่มีปัจจัยดี ๆ หรือด้านบวกมาหนุนตลาด เหตุการณ์ต่าง ๆ คลุมเครือ ตลาดมีแต่การ panic sale คือ มู้ดตลาดไม่ดี เคล็ดวิชา คือ ไม่ดี ไม่เล่น ไม่ถือหุ้น ราคาหุ้นต่ำ ๆ ถูก ๆ ก็ไม่ซื้อ…. เด้ง…(จาก low ดีดกลับขึ้นมาประมาณ 10 จุด +/-)คือ การที่ดัชนีมีการ panic sale แล้วเด้งระหว่างวัน หาไม่เก่งจริงก็ไม่แนะนำให้เล่น เพราะเสี่ยงมาก…โอกาสเสียมีมากกว่าได้… แต่… Oversold ให้ทยอยซื้อได้……รอสักวันสองวัน พอรีบาวน์ก็เอามาขายอีก
7. ถ้าเงินเหลือ ให้ดูหุ้นใหญ่ ptt scc advanc ให้ซื้อขวาครั้งละ 100-200 เพื่อทำ ดัชนีบวก ก่อนซื้อดูด้วยว่ามี bid หนากว่า offer หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ซื้อขวาเลย ถ้าไม่ใช่รอก่อน และถ้าไม่อยากถือให้ขายทิ้งตามน้ำเมื่อ bid บางกว่า offer และราคายังอยู่ฝั่ง bid อยู่ แต่ถ้าราคาอยู่ฝั่ง offer อย่าเสือ..กขายสวนลงไปล่ะ ดัชนีขึ้นสูง หุ้นที่ซื้อมี bid หนาและไม่ขึ้นตามดัชนี ทิ้งให้หมด
8. วิธีจับสังเกตวอลุ่มอย่างง่ายๆ สมมติว่าหุ้นตัวนี้เคยเทรดอยู่วันละ 1-2 ล้านหุ้น อยู่ดีๆวิ่งไป 15 ล้านหุ้น อย่างนี้บอกได้เลยว่าหุ้นตัวนี้มีคนเข้ามาเก็บ ต่อให้คุณมีข่าวดียังไง แล้วคุณประกาศออกมาแค่ไหน ถ้าไม่มีใครไปทำวอลุ่ม มันก็เทรดขนาดนั้นไม่ได้…”โดยธรรมชาติมันเป็นไปไม่ได้เลย”
9. “ซื้อหุ้นก่อนคนอื่น” จะเลือกหุ้นขนาดกลาง(ขึ้นไป)ที่พอมีสภาพคล่อง ดูประวัติการดำเนินงานย้อนหลัง(เน้นว่าต้องมี Growth) จากนั้นก็ไปดูว่าหุ้นตัวนี้เคยถูกไล่ขึ้นไปสูงสุดเท่าไร วันนี้ราคามันตกมาแล้วเท่าไร พอช่วงใกล้ๆ จะประกาศงบการเงินไตรมาส 3(กลางเดือนพฤศจิกายน) ก็พอจะคาดเดาได้ว่าหุ้นตัวนี้น่าจะประกาศงบออกมาดี ก็จะเข้าไปซื้อทิ้งเอาไว้ 2 เดือน 3 เดือนเดี๋ยวมันก็ขึ้น เล่นหุ้นเป็นรอบๆ อย่างนี้ผมได้กำไรตลอด
10. “แต่ถ้าเล่นหุ้นตอนที่เศรษฐกิจขาลงต้องซื้อหุ้น “Defensive Stock” เป็นหุ้นที่ผันผวนน้อยกว่าตลาด ผลประกอบการดี และยังให้เงินปันผลในอัตราที่ดีกว่าฝากแบงก์ จะเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ “ปัจจัย 4″ เช่น อาหาร พลังงาน โรงพยาบาล หุ้นพวกนี้เหมาะกับช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี”
-หุ้นแบงก์ สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ 3 กลุ่มนี้ต้องซื้อตอนที่เศรษฐกิจ “กำลังจะฟื้นตัว” หุ้นพวกนี้จะได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นค่อนข้างมาก
-กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มน้ำมัน หุ้นประเภทนี้ แนะนำว่า ต้องจับจังหวะลงทุนให้ดี หุ้นพวกนี้จะต้องเล่น “เป็นรอบ” ไม่เหมาะถือยาวๆ
-”หุ้นปันผล” จะเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ค่อยชอบเสี่ยง
-หุ้นเก็งกำไร “ตามข่าว” นักลงทุนจะต้องเร็ว ถ้าเข้าจังหวะผิดจะต้อง “ทิ้ง” ทันที
-อย่างช่วงที่ราคาน้ำมันแพง กลุ่มขนส่ง กลุ่มวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบ แต่ธุรกิจโรงกลั่นได้ประโยชน์ หรือช่วงที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น คนได้ประโยชน์มากที่สุดคือ “แบงก์” ส่วนต่างกำไรจะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นในเชิงกลยุทธ์กลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน น่าสนใจที่สุด”
-เคล็ดลับลงทุนเมื่อยามที่ตลาดหุ้นไร้ทิศทาง ควรเลือกหุ้นที่เป็น Value Stock ประเภท “จ่ายปันผลสูง” ต้องไม่ใช่ธุรกิจที่ผันผวนมากเกินไป ให้มองหาหุ้นที่มีรายได้มั่นคง แล้วทยอยสะสมเข้าพอร์ตในช่วงที่หุ้นตกเยอะๆ
11.”P/E” มาหารด้วย”G”(การเติบโตของกำไร)ถ้ายิ่งมันต่ำกว่า 1 เท่าลงมาแสดงว่าหุ้นตัวนั้นมีความน่าสนใจ เพราะการเติบโตของกำไรในอนาคตสูงกว่าพี/อี แต่ถ้าสูงกว่า 1 แสดงว่าพี/อีในปัจจุบันสูงกว่าการเติบโตของกำไรในอนาคต ความน่าสนใจหุ้นตัวนั้นจะน้อย
-สัดส่วนหนี้สินต่อทุนมาก(หนี้สูง) แสดงว่า”หน้าตักเขาน้อย” แต่จุดนี้ไม่ใช่จุดตัดสินว่าหุ้นตัวนั้นไม่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะหุ้นที่มี D/E เรโช”สูง”ถ้าธุรกิจเขามี Growth สูง มาร์จินสูง ธุรกิจเขาดี…..”ผมก็ถือว่าหุ้นตัวนั้นน่าสนใจ แต่ก็เสี่ยงตรงที่ถ้าดอกเบี้ยขึ้น หุ้นพวกนี้จะได้รับผลกระทบก่อนคนอื่น”
12. ถ้าอยากสบายตอนแก่ต้องมีรายได้ประจำไว้กิน 3 อย่าง
อย่างแรก “ต้องมีเงินฝากประจำเอาไว้กินดอกเบี้ย”
อย่างที่สอง “ต้องมีบ้านให้เขาเช่า เอาไว้เก็บค่าเช่ากินตอนแก่”
อย่างที่สาม “ต้องมีรายได้จากเงินปันผล”
13.อย่าไปแตะต้องหุ้นสถาบันการเงิน เพราะไม่มีวันรวยได้นาน เช่นพวกไฟแนนซ์ต่างๆ
14.ให้เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดี เราจะรู้ได้ยังไงว่าจ่ายปันผลดี ก็ต้องไปค้นประวัติว่าบริษัทนี้มีกำไรดีต่อเนื่องมาแล้วกี่ปี เราจะได้รู้ว่าบริษัทนี้มีรายได้มั่นคงแค่ไหน มีประวัติการจ่ายปันผลสม่ำเสมอมาแล้วกี่ปี ควรเลือกหุ้นที่มีหนี้น้อยๆ หุ้นหลายบริษัทจ่ายเงินปันผลดีมาก ดีกว่าฝากเงินกินเยอะ หุ้นอย่างนี้แหละที่น่าซื้อ พอซื้อแล้วให้ถือยาวไปเลย
ข้อสาม…ต้องไปสืบดูประวัติผู้บริหารว่าซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ ข้อนี้สำคัญมากทุกอย่างดีหมดถ้าผู้บริหารเอาเปรียบผู้ถือหุ้น หรือไม่โปร่งใส หุ้นอย่างนี้อย่าไปซื้อมัน บางบริษัทมีผู้บริหารไม่กี่คนจ่ายเงินเดือน จ่ายโบนัสกันเองปีละ 30-40 ล้าน แต่จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นนิดเดียว พวกมันเล่นรวยกันเองคนเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าพวก “โจร” แฝงตัวมานั่งบริหาร ระยะยาวหุ้นอย่างนี้ฉิบหายแน่ๆ
15..ต้องลดต้นทุนให้ต่ำลงตลอดเวลา นั่นคือ ต้องรู้จักดึงเงินทุนออกเหลือเอาไว้แต่กำไร ถึงหุ้นจะตกหนักแค่ไหน ก็ไม่เจ๊งก็เพราะรู้จักดึงทุนเก่าออก หุ้นที่ถืออยู่ส่วนใหญ่แทบไม่มีต้นทุนเหลืออยู่แล้ว เพราะถือมานาน ตัวไหนมีกำไรก็ขายออกเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น หรือเอาเงินปันผลของมันนั่นแหละซื้อหุ้นตัวเอง พอหุ้นลงก็ค่อยๆ ซื้อกลับ ต้นทุนของหุ้นก็จะค่อยๆ ต่ำลง
-สมมุติว่าซื้อหุ้นไว้ที่ราคา 30 บาท ได้เงินปันผลปีละ 10% ก็เท่ากับปีละ 3 บาท เอา 3 บาทไปซื้อหุ้นตัวมันเอง ถ้าทำอย่างนี้ 3 ปี เราก็จะได้หุ้นมากขึ้น ต้นทุนถูกลง ถ้าถือมา 3 ปี ราคาหุ้นขึ้นไป 60 บาท เราก็ขายหุ้นออกไปครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าหุ้นที่เราถืออยู่เป็นกำไรทั้งหมด เราไม่ต้องขายถือต่อไปยาวเลย แล้วก็เอาปันผลของมันซื้อตัวมันเอง ส่วนทุนเดิมของเราก็เอาไปลงทุนซื้อหุ้นตัวอื่นอีก ถ้าราคาลงมาเราก็ค่อยๆ ซื้อกลับเข้าไปอีก ไม่ต้องรีบร้อนซื้อตอนราคาแพง