สรุปสิ่งที่จะต้องมองหาในงบการเงิน
สรุปสิ่งที่จะต้องมองหาในงบการเงินมีดังนี้
1) มองหาบริษัทที่แข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยการดูจาก
- ธรรมชาติของสินค้า คือเป็นสินค้าพื้นฐาน ไม่ใช่แฟชั่น สามารถอยู่ยงคงกระพันได้ดี
- โครงสร้างของสินค้า การมีสินค้าหลากหลายชนิด จะสามารถแบ่งความเสี่ยงลงได้
- ลูกค้า มีความแข็งแกร่ง มีความมั่นคงทางการเงิน ไม่ใช่เบี้ยวหนี้ หนีเก่ง
- โครงสร้างลูกค้า ต้องมีลูกค้าหลายเจ้า ไม่ใช่มีเพียงรายใหญ่ๆ 1-2 ราย หากมีปัญหาจะลำบาก
- เรื่องของคู่แข่ง การต่อสู้ในตลาด จะต้องมีความได้เปรียบอย่างยั่งยืนในการต่อสู้ ทั้งจากภายในอุตสาหกรรมเอง (Same Industry) เอง และตลาดทดแทน (Substitution) ส่วนนี้จะสัมพันธ์มากกับการวิเคราะห์พื้นฐานเชิงคุณภาพ
- มีการหมุนเวียนของสินค้าเร็ว, สินค้าคงคลังมีจำนวนพอดี (ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป) และสินค้าคงคลังไม่ล้าสมัยหรือตกรุ่นง่าย ทำให้เสียราคา
- เก็บหนี้ได้เร็ว จ่ายหนี้ได้ช้า กระแสเงินสดจะเป็นบวก ไม่มีปัญหาในการดำเนินงานมาก
2) บริษัทควรมีหนี้สินระยะยาวน้อย หรือน้อยลงๆ เรื่อยๆ ตลอดระยะเวลา 5-10 ปี และมีกำไรที่สามารถใช้หนี้สินก้อนโตนี้ได้ภายใน 3-4 ปี (แต่เลือกที่จะไม่ใช้หนี้ก็ไม่เป็นไร) ไม่ต้องไปลงทุนอะไรที่ไม่คุ้มค่า หรือลงทุนมากๆ เพียงเพื่อต้องการอยู่รอดในตลาด/ธุรกิจเท่านั้น
4) มีเงินสดในมือเยอะ (โดยทั่วไป ยกเว้นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งมาก จนไม่คิดว่าจะต้องมีเงินสดไว้มาก คือเอาไปทำงานให้ดีกว่า)
5) มีกำไรขั้นต้น > 30% และกำไรก่อนหักภาษีในอัตรา > 10% และเพิ่มขึ้นอย่างเรื่อยๆ สม่ำเสมอ แสดงถึงความสามารถในการแข่งขันที่สูง สามารถคิดราคาสินค้า/บริการได้สูง
6) บริษัทจะต้องสามารถทำกำไรเป็นเงินสดได้มาก เพื่อที่จะนำเงินสดที่มีไปลงทุนเพิ่มได้อย่างคุ้มค่า หรือให้ดีกว่านั้นคือไปลงทุนในสิ่งที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าที่ตัวเองจะทำได้ เรียกว่าใช้เงินทำงานให้เต็มที่
7) เป็นบริษัทที่ลงทุนเพิ่มน้อย หรือถ้าลงทุนเพิ่มก็จะต้องให้ผลตอบแทนในเวลาอันรวดเร็วและคุ้มค่า ไม่ใช่ว่าจะต้องลงทุนตลอดเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น
8) เป็นบริษัทที่เติบโต จุดนี้เป็นสิ่งที่ดีคือทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้ และข้อดีอีกอย่างคือสามารถเติบโตชดเชยกับอัตราเงินเฟ้อได้
9) เมื่อบริษัทมีการเติบโตที่แน่นอน เราจะสามารถคำนวณผลตอบแทนกลับมาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน (Net Present Value) ได้ง่าย หรืออีกวิธีคือเราสามารถคำนวณค่าของ P/E ของหุ้นนั้นในอนาคตเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของ P/E ของอุตสาหกรรมนั้น ทำให้สามารถประเมินราคาหุ้นนั้นในอนาคตได้โดยประมาณ
10) ความพิสดารและยากของนักลงทุนก็คือ จะต้องสามารถหาบริษัทที่มีคุณสมบัติตามข้อ 1-9 ข้างบนให้ได้ และจะต้องมีความสามารถในการประเมินความสามารถในการทำกำไรในอนาคตได้ดี
Credit >> http://muegao.blogspot.com
1) มองหาบริษัทที่แข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยการดูจาก
- ธรรมชาติของสินค้า คือเป็นสินค้าพื้นฐาน ไม่ใช่แฟชั่น สามารถอยู่ยงคงกระพันได้ดี
- โครงสร้างของสินค้า การมีสินค้าหลากหลายชนิด จะสามารถแบ่งความเสี่ยงลงได้
- ลูกค้า มีความแข็งแกร่ง มีความมั่นคงทางการเงิน ไม่ใช่เบี้ยวหนี้ หนีเก่ง
- โครงสร้างลูกค้า ต้องมีลูกค้าหลายเจ้า ไม่ใช่มีเพียงรายใหญ่ๆ 1-2 ราย หากมีปัญหาจะลำบาก
- เรื่องของคู่แข่ง การต่อสู้ในตลาด จะต้องมีความได้เปรียบอย่างยั่งยืนในการต่อสู้ ทั้งจากภายในอุตสาหกรรมเอง (Same Industry) เอง และตลาดทดแทน (Substitution) ส่วนนี้จะสัมพันธ์มากกับการวิเคราะห์พื้นฐานเชิงคุณภาพ
- มีการหมุนเวียนของสินค้าเร็ว, สินค้าคงคลังมีจำนวนพอดี (ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป) และสินค้าคงคลังไม่ล้าสมัยหรือตกรุ่นง่าย ทำให้เสียราคา
- เก็บหนี้ได้เร็ว จ่ายหนี้ได้ช้า กระแสเงินสดจะเป็นบวก ไม่มีปัญหาในการดำเนินงานมาก
2) บริษัทควรมีหนี้สินระยะยาวน้อย หรือน้อยลงๆ เรื่อยๆ ตลอดระยะเวลา 5-10 ปี และมีกำไรที่สามารถใช้หนี้สินก้อนโตนี้ได้ภายใน 3-4 ปี (แต่เลือกที่จะไม่ใช้หนี้ก็ไม่เป็นไร) ไม่ต้องไปลงทุนอะไรที่ไม่คุ้มค่า หรือลงทุนมากๆ เพียงเพื่อต้องการอยู่รอดในตลาด/ธุรกิจเท่านั้น
4) มีเงินสดในมือเยอะ (โดยทั่วไป ยกเว้นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งมาก จนไม่คิดว่าจะต้องมีเงินสดไว้มาก คือเอาไปทำงานให้ดีกว่า)
5) มีกำไรขั้นต้น > 30% และกำไรก่อนหักภาษีในอัตรา > 10% และเพิ่มขึ้นอย่างเรื่อยๆ สม่ำเสมอ แสดงถึงความสามารถในการแข่งขันที่สูง สามารถคิดราคาสินค้า/บริการได้สูง
6) บริษัทจะต้องสามารถทำกำไรเป็นเงินสดได้มาก เพื่อที่จะนำเงินสดที่มีไปลงทุนเพิ่มได้อย่างคุ้มค่า หรือให้ดีกว่านั้นคือไปลงทุนในสิ่งที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าที่ตัวเองจะทำได้ เรียกว่าใช้เงินทำงานให้เต็มที่
7) เป็นบริษัทที่ลงทุนเพิ่มน้อย หรือถ้าลงทุนเพิ่มก็จะต้องให้ผลตอบแทนในเวลาอันรวดเร็วและคุ้มค่า ไม่ใช่ว่าจะต้องลงทุนตลอดเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น
8) เป็นบริษัทที่เติบโต จุดนี้เป็นสิ่งที่ดีคือทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้ และข้อดีอีกอย่างคือสามารถเติบโตชดเชยกับอัตราเงินเฟ้อได้
9) เมื่อบริษัทมีการเติบโตที่แน่นอน เราจะสามารถคำนวณผลตอบแทนกลับมาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน (Net Present Value) ได้ง่าย หรืออีกวิธีคือเราสามารถคำนวณค่าของ P/E ของหุ้นนั้นในอนาคตเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของ P/E ของอุตสาหกรรมนั้น ทำให้สามารถประเมินราคาหุ้นนั้นในอนาคตได้โดยประมาณ
10) ความพิสดารและยากของนักลงทุนก็คือ จะต้องสามารถหาบริษัทที่มีคุณสมบัติตามข้อ 1-9 ข้างบนให้ได้ และจะต้องมีความสามารถในการประเมินความสามารถในการทำกำไรในอนาคตได้ดี
Credit >> http://muegao.blogspot.com