นักลงทุนที่ไม่เคยศึกษาวิธีการอ่านงบการเงิน
พอเปิดงบมาดูคงจะงงกับตัวเลขอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด
วันนี้ผมมีวิธีดูงบแบบเริ่มต้นมาเล่าให้ฟัง
วิธีคือให้ดูว่า ยอดขายโตเป็นกี่ % ถ้าเทียบกับปีที่แล้ว
ทำได้โดยการนำเอา ยอดขายของปีนี้ตั้ง –ยอดขายของปีที่แล้ว
และหารด้วยยอดขายของปีที่แล้ว
สมมุติว่า ยอดขายออกมาโต 10% วิธีดูต่อไป
ให้ไปดูในงบดุลแล้วดูว่า
ลูกหนี้โตกี่% ถ้าลูกหนี้โตเป็น % สูงกว่ายอดขาย
ก็ไม่ดีเพราะหมายความว่าขายของเก็บเงินไม่ได้
2.ให้ไปดูว่าสินค้าคงเหลือโตกี่ % ถ้าสินค้าคงเหลือโต
เยอะกว่า ยอดขายก็สะท้อนว่า ซื้อของมาเก็บไว้เยอะแต่ขาย
ได้ไม่เร็วพอทำให้ stock เยอะขึ้น
3.ให้ดูอัตรากำไรสุทธิของบริษัทว่าโตกี่%
สมมุติยอดขายโต 10% แต่กำไรโตแค่ 5%
เราต้องไปดูว่าเกิดจากอะไร
3.1 อาจเกิดจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารโตเร็วกว่า
ก็สะท้อนการจัดการที่ไม่ดีของบริษัท
3.2อาจเกิดจาก gross margin ลดลง ซึ่งสะท้อนการควบคุมต้นทุนที่ไม่ดี
3.2อาจเกิดจากรายการอื่นๆเช่น ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ขาดทุนจากการด้อยค่า
แบบนี้ก็ไม่ค่อยมีนัยยะ ให้นำรายการพวกนี้บวกกลับเข้าไปที่กำไรสะสม
ภาคต่อ
1.การดูว่าธุรกิจมีกำไรเท่าไหร่ไม่สะท้อนที่คุณภาพของบริษัทมากนักนักลงทุนเวลาดูกำไรจึงควรดูตัวเลขที่ชื่อ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ไปด้วย
ถ้าบริษัทมีกำไร 100 ล้าน แต่ดำเนินงานแล้วมีเงินสดแค่ 50 ล้าน
เราจะบอกว่าบริษัทนี้มีความสามารถหรือไม่ การเป็นแบบนี้แสดงว่า
ธุรกิจสภาพคล่องไม่ดีนัก เงินสดน่าจะหายไปจากไหนซักที่
เช่น ลูกหนี้ สินค้าคงเหลือ
ถ้ากลับกันบริษัทเดิมมีกำไร 100 ล้านแต่ธุรกิจทำเงินสดได้
200 ล้านแบบนี้ มันก็สะท้อนให้เห็นว่ากำไรของบริษัทที่สองมีคุณภาพมากกว่า
สมัยก่อนมีการปั่นหุ้นตัวนึงในตลาด mai กำไรโตมากๆ คร่าวๆว่ามากกว่า 10 เท่า
แต่ว่าลูกหนี้บริษัทโตเร็วมากเช่นกัน กลายเป็นว่า กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ ทั้งๆที่กำไรโตเยอะ
แบบนี้ก็ไม่ดี สุดท้ายหุ้นตัวนี้ก็เข้าทำนอง สูงสุดคืนสู่สามัญ
2.ถึงกระแสเงินสดการดำเนินงานจะสูงก็ยังไม่พอ ควรดูว่า free cash flow เยอะไหม
โดยดูจาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน – กระแสเงินสดจากการลงทุน
เพราะว่าบางธุรกิจดำเนินงานได้เยอะก็จริงแต่ต้องลงทุนหนักก็คงไม่ดีนัก
ผมถามท่านว่า ถ้าท่านเลือกหุ้นสองบริษํท บริษัทแรก
มีกระแสดเงินสดจากการดำเนินงาน 100 ล้าน แต่ต้องลงทุน
150 ล้าน กับบริษัที่สอง กระแสดเงินสดจากการดำเนินงาน
100 ล้านแต่ลงทุน 75 ล้าน ท่านจะเลือกอะไร
ก็ต้องบริษัทที่สองเพราะสุดท้าย ผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ยังได้
อะไรกลับเข้าตัวเองมากกว่า
เพราะ free cash flow ที่เป็นบวก สามารถนำไปคืนหนี้ และ จ่ายปันผล ได้
หรือจะซื้อหุ้นคืนก็ได้เหมือนกัน
ดังนั้นต่อจากตอนแรก เมื่อเราวิเคราห์งบดุล กำไรขาดทุนแล้ว ต้องวิเคราะห์กระแส
เงินสดบริษัทคู่ไปด้วย เพราะดูภาพของบริษัทให้ครบถ้วน
3.ถ้าเรารู้ว่าบริษัทมี free cash flow เยอะแล้วจะต้องชอบบริษัทที่หนี้
ธนาคารน้อยกว่า เพราะ fcf เยอะแต่หนี้เยอะ เขาต้องไปคืนหนี้ ทำให้มีเงิน
ปันผลน้อยลง ถ้าเราอยากเก็งกำไรหุ้นที่คิดว่ากำไรจะโตแล้วจะปันผลได้เยอะๆ
เราต้องหาหุ้นที่มี free cash flow ที่สูงและมีหนี้ธนาคารน้อย
หุ้นเหล็กหลายตัวมีหนี้เยอะมาก เรียกว่าเยอะกว่า marketcap ด้วยซ้ำ
ประมาณว่า คำนวณ ev จะมากเป็น 2 เท่าของ marketcap เลย
แบบนี้มี free cash flow เราคงได้ปันผลน้อย
รอบนี้เป็นเรื่องอัตราส่วนทางการเงิน
1.gross margin การดู gross margin นั้นควรดูในแง่เทียบกับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันว่ามีมากกว่าหรือน้อยกว่าเช่น
สมมุติว่าบริษัท a กับ b อยู่อุตสาหกรรมเดียวกันแต่ a มี gross margin 35% b มี 25% แบบนี้เบื้องต้นแสดงว่า a มีการบริหารจัดการที่ดีกว่า b ทำให้ได้กำไรขั้นต้นที่สูงกว่า ข้อควรระวังในการดูGross margin ก็คือถ้าดูกับบริษัทที่เป็นวัฏจักร หรือ cyclicalGross margin จะสูงมาก แต่นั้นหมายความว่าราคาหุ้นตอนนั้นมีโอกาสตอบรับวัฏจักราขาขึ้นไปแล้ว ถ้าเป็นหุ้นวัฏจักรเราควรดูว่าในรอบวัฏจักรของเขาเคยมี gross margin ต่ำสุดเท่าไหร่ และสูงสุดเท่าไหร่ และซื้อตอน gross margin ต่ำๆ
2.asset turnover ก็คือการดูว่ายอดขายของบริษัทนั้นสามารถนำมาหมุนได้กี่รอบถ้าเทียบกับขนาดของสินทรัพย์ถ้า a มีสินทรัพย์
1 ล้านบาท มียอดขาย 2 ล้านบาท b มีมีสินทรัพย์
1 ล้านบาท มียอดขาย 3 ล้านบาทในกรณีแบบนี้นักลงทุนคงอยากเป็นเจ้าของบริษัท b มากกว่าเพราะว่ามีความสามารถในการขายที่สูงกว่าภายใต้แนวคิดมีสินทรัพย์ขนาดเท่ากัน ส่วนใหญ่หุ้นที่มีลักษณะ asset turnover สูงมักจะเป็นหุ้นค้าปลีกเช่น se-ed makro hmpro
เป็นต้น
3.ที่นี้มีคำถามว่าสมมุติว่าเราดูหุ้นโรงแรมสองตัว ตัวแรก grossmargin สูงกว่าตัวที่สองเราจะตัดสินว่าตัวแรกดีกว่าไหม
คำตอบคือยัง เพราะว่าโรงแรมแรกอาจจะจับลูกค้าระดับบนที่มีการใช้จ่ายต่อหัวสูงทำให้ กำไรขั้นต้นสูงกว่าแต่ว่าเขาไม่ได้มี asset turnover สูง แต่โรงแรมที่สองจับลูกค้าระดับล่างดังนั้น gross margin จึงต่ำกว่า แต่ว่าเขาได้ asset turnover สูงกว่า
แบบนี้การเปรียบเทียบระหว่างบริษัทเราจะต้องดูที่ business model ว่าใครจับลูกค้าแบบไหน ไม่ใช่ใช้อัตราส่วนทางการเงินไปตัดสินเลยว่าใครเป็นอย่างไรดีหรือไม่ดี ดังนั้นก่อนวิเคราะห์เราต้องรู้
ตัวธุรกิจก่อนจึงจะวิเคราะห์งบการเงินได้ดี
4.อัตราส่วนต่อมาที่ต้องดูคือ account receivable สมมุติว่าเราคำนวณออกมาว่าได้กี่เท่าปล่อยเครดิตกี่วันก็ไม่ควรเอาตัวเลขมาเป็นนัยยะทันทีเนื่องจากว่าไส้ในของลูกหนี้แต่ละบริษัทอาจจะมีอายุไม่เท่ากัน
ลูกหนี้ของบริษัทแรกส่วนใหญ่อาจจะเป็นเกินกำหนดชำระเป็นเวลา
3 เดือนส่วนใหญ่แต่บริษัทที่สองอาจจะเกินกำหนดชำระแล้ว 1 ปีเป็นส่วนใหญ่เราต้องไปดูว่าบริษัทนั้นได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญสมเหตุสมผลกับยอดหนี้ที่เกินกำหนดชำระไหม และถ้าบริษัทไหนยอดหนี้ส่วนใหญ่เป็นประเภทยังไม่ถึงกำหนดชำระเป็นส่วนใหญ่ลูกหนี้ก็จะมีความ safety สูงกว่า
Credit http://hongvalue.wordpress.com