ตำราเล่นหุ้น k. Nowya
ท่านใดจะ save เก็บไว้ ศึกษาขยายลึกซึ้งก็มิได้ว่ากระไร (มีประมาณ 57 ข้อ) ส่วนท่านที่มีความเห็นแย้งต่างก็แนะนำมาได้ เพราะแต่ละข้อ แค่ใจความสำคัญเท่านั้น แต่มีคำอธิบายประกอบเล็กน้อยด้วย ………….(คำว่า Vi = value investor , Vs = value speculator )…………………..
ข้อ 1.. Vs..นักเก็งกำไร Vs (Value Speculator) คือคนที่ซื้อขายหุ้นเพื่อหวังผลกำไรในเวลาสั้น ตั้งแต่ 1 นาที จนถึง 3 เดือน
(อธิบาย… ยังแบ่งออกเป็น สองประเภท คือ ประเภทแรก นักเก็งกำไรเบื้องต้น คือพวกที่ซื้อๆ ขาย ๆ แบบไม่มีหลักคิดหลักลงมือแน่นอน เป็นการซื้อขายเสี่ยงดวง จนเกือบเสมือนนักการพนัน ซึ่งสุดท้ายคือ ขาดทุน ส่วนอีกประเภทคือ นักเก็งกำไรคุณค่า หมายถึงพวกที่ มีหลักคิดหลักการลงมือ รู้จักเอาตัวรอดตามสถานการณ์ จึงมักได้กำไรแม้จะน้อยหรือมากก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สุดท้ายต้องมีกำไร )
ข้อ 2..นักการพนัน คือ คนที่ไม่รู้จักตลาด ได้แต่ถามคนอื่นว่าเล่นตัวไหนดี และไม่มีความรู้การจัดพอรต์ ไม่รู้จักการขายตัดขาดทุน ควบคุมหลักการลงมือไม่เป็น
(อธิบาย…คนส่วนใหญ่ที่เข้าตลาดมาระยะแรกๆ แม้จะผ่านการดูตลาด ผ่านการศึกษาอ่านตำราหุ้น ผ่านการสัมมนาก็ตาม มักจะค้าหุ้นแบบเล่นหุ้นก่อนเสมอ คือยังกลัวๆกล้าๆ ไม่มีความมั่นใจ เพราะไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นจึงมักค้าหุ้นในลักษณะเล่นหุ้น คือสนใจแต่กำไรถ่ายเดียว ไม่ยืดหยุ่น เหมือนการพนัน แต่ก็ไม่ใช่ความผิด เมื่อผ่านระยะเวลาหนึ่งก็จะเริ่มแปรเป็นนักค้าหุ้นคุณค่า เป็นนักเก็งกำไรคุณค่า เป็นนักลงทุนคุณค่าได้)
ข้อ 3.. Vi..นักลงทุน Vi (Value investor) คือคนที่ซื้อหุ้นแล้วเก็บรอ เกินกว่า 3 เดือน ไม่ว่าจะระหว่างการประกาศผลประกอบการรายไตรมาสหรือข้ามไตรมาสแล้ว ด้วยความมั่นใจที่ได้คัดสรรหุ้นที่ซื้อพร้อมราคาที่ถูกต้องเหมาะสม และเชื่อในความสามารถของผลประกอบการมีกำไรจะทำให้ราคาที่ถือครองหุ้นนั้นได้กำไรในที่สุดอย่างแน่วแน่
(อธิบาย…องค์ประกอบสำคัญคือ 1.. ถือครองมากกว่า เวลา 3 เดือน ในสภาวะตลาดทั่วไป ไม่มีวิกฤติกาลระหว่างถือ 2..ด้วยจำนวนซื้อที่มากพอที่จะสร้างกำไรตามเป้าหมายเป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่ซื้อแค่ 100 หุ้น ฯลฯ 3..ซื้อด้วยหลักการคัดสรรตามหลักมาตรฐาน เช่น Per ไม่เกิน 12 หรือ Bv ไม่เกิน 2 ฯลฯ รู้จักธุรกิจของหุ้นดี อธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ ที่สำคัญไม่หวั่นไหวต่อการแกว่งตัวของราคาก่อนถึงเป้าหมาย ถ้าผิดไปข้อใดข้อหนึ่งก็ถือเป็นนักเก็งกำไรทั่วไปนั่นเอง )
ข้อ 4…Vi & Vs..หลักสำคัญในการเล่นหุ้นคือ ผู้ลงทุนส่วนมากหรือเกือบทั้งหมดยังคงทำผิดซ้ำซากเช่นอดีต แก้ไขได้ยาก จึงเป็นช่องทางหาเงินของพวกที่ฉลาดกว่า
(อธิบาย…นักลงทุนเข้าตลาดมาพร้อมกับพกเอาจิตใจแห่งความโลภเข้ามาเสมอ จึงพาให้มีแต่ความคิดทางโลภนำและสุดท้ายก็พบว่าตนเอง ติดดอยอีกจนได้ หากไม่รีบแก้ไขพฤติกรรมความคิดนี้ ก็จะมีพฤติกรรมปฎิบัติตามอารมณ์นำแบบนี้ซ้ำซากต่อไป เรื่อย ๆ จนเงินหมดกระเป๋า)
ข้อ 5..Vi & Vs..ตลาดบูม คือ สัญชาตญาณการพนันจะถูกกระตุ้นให้เชื่อว่า จะได้เงินมาง่ายๆ แต่ท้ายที่สุดจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้
(อธิบาย…เมื่อตลาดขาขึ้นรุนแรง จะมีแต่ผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าสนิทหรือไม่รู้จักกันมาก่อน มาให้ข้อมูลเชิงบวกเสมอ ทำให้จิตปรุงแต่งและเชื่อจากที่ประจักษ์ จนสุดท้ายก็ต้องกระโดดสู่วังวนความเชื่อตนเองที่ว่า กำไรอยู่แค่เอื้อม ไม่มีอะไรน่ากลัวหรือเสี่ยงเลย ลุยได้ )
ข้อ 6.. Vi & Vs ..สิ่งที่นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมคือ การคาดการณ์สิ่งที่ไม่คาดการณ์ไว้ เพราะมันต้องเกิดขึ้นเป็นประจำปกติในเกมหุ้นนี้เสมอ ถ้าไม่มีเรื่องผิดพลาดหรือผิดปกติ ตลาดหุ้นก็จะเป็นเพียงการดูตัวเลขตามบัญชี
(อธิบาย…ปัจจัยรอบข้างที่ทำให้คนเล่นหุ้นตกใจง่าย คือความกลัวและความกล้า ดังนั้นเพียงแค่ข้อมูลข่าวสารเล็กๆ แต่มาบ่อย ๆ ในสภาวะต่าง ๆของตลาดก็จะมีผลทำให้ผู้คนแตกตื่นเปลี่ยนพฤติกรรมได้ง่าย ทำให้เส้นทางราคาเปลี่ยนทิศทางอย่างไม่คาดถึงเสมอ ๆ)
ข้อ 7.. Vi & Vs..นักลงทุนที่จะเล่นได้เงิน จะต้อง 1..ช่างสังเกต 2..ความจำดี 3…เก่งกาจตัวเลข
(อธิบาย… สมัยก่อน นักลงทุนส่วนใหญ่ เป็นคนมีอายุระหว่าง 40 -70 ปี มักมีความเชื่องช้าทุกข้อ การเล่นหุ้นจะไม่ตื่นเต้น กติกาตลาดก็เอื้อให้เป็นเช่นนั้น เช่น ซิลลิ่ง ฟลอร์ คือ บวกลบ 10% นักลงทุนไม่ต้องกดเครื่องคิดเลขก็คำนวณได้ แต่เวลาผ่านไป ปัจจุบัน นักลงทุนเกลี่ยอายุลดลง 20 – 60 ปี มีความสามารถต่างศักยภาพ ความจำเป็นใน 3 ข้อจึงสูงมากขึ้น )
ข้อ 8.. Vi & Vs.. การซื้อถัวเฉลี่ย คือเกมการเล่นที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ในตลาดขาลง และหากคนรวยจากวิธีนี้ก็น้อยมาก ๆ
(อธิบาย … ตลาดขาลง ราคาหุ้นจะซึมหรือ ลงรวดเร็ว มีความผันผวนสูงมาก การซื้อถัวเฉลี่ยลง มักทำให้ราคาต้นทุนอยู่สูงกว่า ราคาสดในตลาดอย่างไม่มีวันจบสิ้น นอกจากการซื้อเฉลี่ยลงต้องมีจำนวน ทวีคูณเป็นหลายๆ เท่า จึงจะทำให้ต้นทุนต่ำลงมากได้ แต่ก็อาจทำให้เงินสำรองหมดอย่างรวดเร็ว ทำให้ติดกับดักราคาในที่สุด )
ข้อ 9 .. Vi & Vs.. อย่าซื้อหุ้นเพราะเห็นว่า ราคาถูก จงซื้อหุ้นเพราะราคาจะวิ่งเท่านั้น
(อธิบาย … ความรู้สึกที่ว่าราคาถูก มักเกิดกับคนเฝ้าตลาดตลอดเวลา เพราะไปจดจำราคาอดีตใกล้ ๆ ที่เคยสูงกว่าราคาปัจจุบันมาเปรียบเทียบ ทั้งที่ราคาอดีตที่ใกล้ปัจจุบันนั้น เป็นราคาที่ไม่อาจยืนยันทางสถิติว่าต่ำจริง ดังนั้นความคิดที่ว่าราคาถูกจริงต้องผ่านการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานชัดเจนก่อน แต่พวกที่เล่นรายวัน รายเดือนตามกระแสตลาด ต้องไม่คิดว่า ราคาที่จะซื้อมันถูก จงคิดว่า ราคาที่จะซื้อนั้นแพงมากมาก แต่ยังคงจะวิ่งขึ้นต่อได้มากน้อย จึงตัดสินใจซื้อ และเผื่อใจในการขายตัดขาดทุนด้วย)
ข้อ 10.. Vi & Vs.. ขายส่วนที่ขาดทุน เก็บส่วนที่กำไรไว้ก่อน (ตลาดขาขึ้น)
(อธิบาย… เมื่อตลาดขาขึ้น หุ้นส่วนใหญ่ควรต้องขึ้น หากในพอร์ตกลับมีหุ้นขาดทุน แสดงว่าหุ้นนั้นไม่ขึ้นตามสภาวะตลาดหรืออาจสวนทางตลาด จึงต้องขายหุ้นนั้นไปก่อน ส่วนหุ้นที่กำไรในพอร์ตคงถือไว้ก่อน เพื่อให้กำไรเพิ่มพูนจนกว่าตลาดอิ่มตัว)
ข้อ 11 ..Vs…การวิเคราะห์ราคาเมื่อสัปดาห์ก่อน ไม่มีความหมายใดๆ ในปัจจุบันแล้ว อย่าหลงเชื่อตัวเลขที่ผ่านมาเกิน 3 วัน
(อธิบาย …ในตลาดหุ้นมักมีข่าวออกมาบ่อย ๆ เสมอ ซึ่งจะปรากฏเป็นทั้งข่าวจริงและข่าวลือ จะมีผลต่อราคาหุ้นขณะนั้นๆ ทันที พวกข่าวจริง หลังเวลาผ่านไป ราคาหุ้นจะทรงๆ หรือค่อย ๆ อ่อนลง ส่วนพวกข่าวลือ ราคาหุ้นจะอ่อนลงรวดเร็วพร้อมกับไม่มีคนเล่นอีก วอลุ่มก็หายตามไปด้วย จัดเป็นหุ้นตีหัวเข้าบ้าน หรือหุ้นเน่าชอบแห่ตามหุ้นอื่น ฯลฯ)
ข้อ 12 ..Vs..จงระวังหุ้นที่ไม่ขึ้นหรือไม่ลง ตามสภาวะตลาดรวมขณะนั้นๆ หุ้นพวกนี้มักทำให้คนเข้าไป เจ็บปวดมากที่สุด
(อธิบาย …ธรรมชาติของหุ้นที่น่าเล่น ควรเป็นหุ้นที่ตามกระแสตลาดเสมอ แต่จะมีหุ้นที่ฝืนตลาด มักเป็นจุดเด่นสะดุดตาทำให้คนอยากเข้าไปลอง ทั้งที่ไม่รู้เหตุผลที่ไปที่มาทำไมต้องสวนตลาด หุ้นพวกนี้ส่วนใหญ่มีการเข้าไปสร้างราคาเสมอ ทั้งข่าวลวงหรือข่าวดีเกินจริงมากมาย มิเช่นนั้นหุ้นพวกนี้จะไม่มีคนสนใจหากไม่ทำเช่นนั้น จัดเป็นหุ้นป่วยนอนยาว นานๆก็พลิกตัวทีแล้วหลับต่อ)
ข้อ 13..Vi & Vs.. ในตลาดหุ้น ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอ
(อธิบาย…เนื่องจากระบบตลาดหุ้น มีเป้าประสงค์แบบเดียวกันเป็นหลัก เช่น บจ เข้ามาเพื่อต้องการ หาโอกาสเพิ่มทุนในต้นทุนประหยัดไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ส่วน ตลาดหุ้นเองก็ทำหน้าที่เสมือนกรรมการจัดสรรดูแลการค้าหุ้นให้ยุติมากที่สุดและได้รายรับจากค่าสมาชิกของ บจ เป็นรายปี ส่วนนักลงทุน นักค้าหุ้น นักเก็งกำไร หรือนักพนัน ก็ได้กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่ตนขาย หรือส่วนลดภาษี ฯลฯ เป็นเป้าหมายคงที่ ดังนั้นจึงเกิดธุรกรรมซื้อขาย หุ้นเข้าใหม่ และมีหุ้นออกจากตลาด สร้างพฤติกรรมคงที่ ตามวัฏจักรหมุนเวียนตามสภาวะ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเกิดเหตุการณ์ซื้อๆขายๆตามสภาวะคงที่ มีกระทิง มีหมี มี sideway มีซึมคงที่ ไม่มีกระโดดออกสู่เรื่องอื่นหรือนอกกรอบนอกประเด็นจากนี้ จึงก่อให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเสมอ ๆ ซ้ำรอยในอดีต )
ข้อ 14 ..Vi & Vs..ตลาดตื่นตระหนกคือ
1) ราคาตกไม่หยุด 3 วันต่อเนื่อง (หากตกเพียงวันเดียวแล้วฟื้นวันถัดไป ไม่ใช่ตื่นตระหนก)
2) ราคาหุ้นตกแทบทุกตัว หรือมากกว่า 70 % ของหุ้นที่เล่นในแต่ละวัน แม้หุ้นที่มีอันดับดีก็ตกมาก
3) ในวันถัดมากจากที่ตกแรงๆ ราคาหุ้นจะสูงขึ้นไม่เกิน 1 / 2 จากราคาตกวันแรก
4) หลังจากนั้นราคาหุ้นจะตกต่อลง ช้าๆ (มีรีบาวน์บ้างก็เพียงเล็กน้อย) อาจตกต่อเป็นเวลานานก็ได้
(อธิบาย…การที่ตลาดตื่นตระหนกวันเดียว อาจมาจากการคาดเดาของรายใหญ่นำ หรือหากเป็นการลงรุนแรงแต่วันเว้นวัน ก็ถือว่า เป็นกลเม็ดฉวยโอกาสจากข่าวและความหวั่นวิตกของรายย่อย ซึ่งรายใหญ่มักทำขึ้นวันลงวัน จะได้ลดต้นทุนหุ้นตนเองลงอย่างรวดเร็ว ไว้ขายหลังข่าวสงบ แต่หากเป็นการลงแรงและหลายวัน ติดต่อกันโดยไม่ยอมรีบาวน์จึงนับว่าตื่นตระหนกจริง ถึงตอนนี้ต้องตัดสินใจจะออกจากตลาดหรือไม่)
ข้อ 15 ..Vi & Vs.. ก่อนตลาดจะบูม จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เสมอๆ
1) ราคาหุ้นส่วนใหญ่ราคาเริ่มกระเตื้องขึ้น
2) ปริมาณซื้อขายเริ่มมากขึ้น (ดูจาก volume ค่าเฉลี่ย 5 วัน)
3) จำนวนเริ่มลดลง เมื่อราคาตกลงอีก (แสดงว่ายังกลัวๆ กล้า ๆ) แต่จำนวน ณ ราคาจุดเดิมจะลดจำนวนลง ไม่เหมือนครั้งแรกที่ตกลงมา จะเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้า
(อธิบาย…สิ่งที่สำคัญในการดูว่าตลาดจะเริ่มกระเตื้องขึ้นคือ จำนวนหุ้น(วอลุ่ม) มากขึ้นกว่าก่อนโดยเฉลี่ย ซึ่งแสดงว่ามีผู้คนเข้ามาเก็บของแล้ว ณ ราคาจุดนั้น ๆ และหากมาแรงขายตามมา ราคาที่ลงไปจะเริ่มมีวอลุ่มน้อยลงแล้ว นั่นคือสัญญานว่าตลาดใกล้จะฟื้นหรือ รีบาวน์แล้ว)
ข้อ 16.. Vi & Vs..ตลาดบูมที่ใกล้จุดจบ สังเกตุได้จาก
1) มีการเปลี่ยนมือซื้อขายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และหลังจากนั้นเพียงข้ามวันก็จบรอบ หรือบางครั้งอาจข้ามไปเห็นผลอีกสัปดาห์สองสัปดาห์ เพราะรายใหญ่ยังปล่อยขายไม่หมด จำต้องพยุงราคาเพื่อโรยของ
2) หุ้นที่ไม่มีค่า ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (หุ้นที่ก่อนหน้าไม่มีคนนิยม)
3) คนเล่นหุ้นใช้อารมณ์เล่นหุ้นมากสุด แสดงความโลภสูงสุด
4) คนเล่นหุ้นหน้าใหม่เข้าตลาดมากขึ้นทุกวัน มีคนเปิดบัญชีเล่นหุ้นมากขึ้น ห้องแชทต่างๆ มีคนเข้าร่วมสนทนามากขึ้น คนแปลกหน้าเพิ่มจำนวน
5) มีคนนำใบหุ้นมาขายมากขึ้น (คนที่ถือยาวเปลี่ยนใจ เพราะราคาสูงจูงใจให้อยากขาย )
6) หุ้นตีหัว สลับกันเล่น บ่อยขึ้น
(อธิบาย… สภาพการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นเป็นเวลายาวนับเดือน ก่อนจบลง เพราะตลาดขึ้นมายาวนาน หลายๆ เดือนหรือนับปี และจะเกิดเป็นระยะสั้นถ้า สภาวะตลาดขึ้นต่อเนื่องมาก่อน ส่วนการจบมีหลายแบบ ลงแรง ๆ สองสามวัน หรือ ซึมยาว ๆ เป็นเดือน หรือ ขึ้นแรงลงแรงสลับกัน เป็นช่วงดีของการปล่อยของ)
ข้อ 17..Vi & Vs..ระหว่างตลาดบูม ถ้าหุ้นที่ซื้อ มีราคาลดลงแทนที่จะขึ้น แสดงว่าเป็นหุ้นอันตราย อย่าเสี่ยงดื้อรั้นถือไว้
(อธิบาย …โดยธรรมชาติของหุ้นเมื่อตลาดบูม หุ้นส่วนมากจะมีราคากระเตื้องขึ้นตลอด หรืออาจเป็นการซึมขึ้นช้า ๆ แต่จะมีหุ้นที่ราคาไม่กระเตื้องเลย แม้เวลาผ่านไปสองวัน แสดงว่าหุ้นนั้นมีปัญหา การไม่ขึ้นตามกระแสสภาวะตลาด เป็นการเสียโอกาสอย่างหนึ่งที่ร้ายแรง ข้างในอาจมีปัญหาข้อขัดแย้ง แล้วสุดท้ายราคามักซึมลง เพราะคนที่ไม่รู้อะไรแต่ซื้อจำนวนมากจะทนไม่ได้กับโอกาสทองแบบนี้ และตัดสินใจออก คนที่ถืออยู่ก็จะขาดทุนมากขึ้น)
สภาวะตลาดช่วงนี้ ควรศึกษาเจาะลึกตรรกะตลาด และหลักกลยุทธ เพื่อไว้ต่อกรกับความผันผวนของตลาด อย่างมืออาชีพ ควรติดตามอ่านและ save เก็บไว้ print ออกมา วางข้างคอมฯ ไว้พิจารณาเสมอ
ข้อ 18 .. Vi & Vs..” ความหวัง ” เป็นศัตรูตัวร้าย เมื่อเห็นหุ้นในมือตก คนส่วนใหญ่จะหวังลม ๆ แล้ง ๆ และความหวังนี้ยากที่จะเกิดจริงในเวลาสั้น
(อธิบาย… คนที่ซื้อหุ้นแล้ว ราคาเริ่มตกลงมากกว่า -5 % ถึง – 20 % มักสร้างความหวังหรือ จินตนาการ หรือ จิตปรุงแต่ง ว่า ในไม่ช้าราคาก็จะกลับมาที่ซื้อ อดทนอีกสักนิด แต่พอราคามาถึงหรือสูงขึ้นไปอีก ก็จะชมชอบตนเองว่าคิดถูก และตั้งความหวังสูงขึ้นอีกกลายเป็นความโลภ มากขึ้น สุดท้ายเมื่อราคาตกลงเร็วและแรง ก็เกิดสภาพติดดอยเช่นเคย การติดดอยเกินสองครั้ง ความหวังกลับสู่ราคาเดิมจะเลื่อนนานออกไปมาก เพราะผู้คนเริ่มกลัวไม่กล้ารับเมื่อราคาตกอีกแล้ว)
ข้อ 19..Vi.. หุ้น ” ดี ” ขึ้นกับ ” เวลา ” ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เวลาจึงสำคัญกว่าราคาซึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่สนใจ
(อธิบาย … คนเล่นหุ้น ทุกประเภท ก่อนตัดสินใจซื้อ มักต้องอ่านปัจจัยพื้นฐาน หรือปัจจัยเก็งกำไรจากกราฟ จากรูปแบบราคา จากปริมาณซื้อขาย และต้องรอเวลาให้เกิดเป้าหมายก่อน ดังนั้น หากหุ้นที่สนใจ กินเวลานานเกินไปกว่าจะถึงเป้าหมายนั้นหรือโอกาสทองนั้น ก็อาจมีการเปลี่ยนใจนำเงินไปซื้อตัวอื่นแล้ว ดังนั้นเวลาจึงสำคัญมากกว่าราคา เพราะราคาที่ว่า ต่ำๆ หากซื้อแล้วไม่ขึ้นหรือนานมาก ไปสู้ซื้อราคาสูง แต่ราคาขึ้นเร็วในเวลาสั้น ๆ ไม่ได้ อย่างนี้คือการกำไร เวลาก่อน ซึ่งเวลามีค่ามากกว่าที่ทุกคนลืมคิดถึงเสมอ)
ข้อ 20 ..Vs.. เมื่อท่านเสียเงินจากตลาดหุ้น จงอย่าคิดแก้แค้นโดยซื้อหุ้นมากขึ้น (ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง) ตลาดไม่เคยกลัวท่านซื้อมากขึ้นเลย เพราะตลาดมีกระแสของมันเอง
(อธิบาย …เมื่อตลาดขาลง คือคนส่วนมากทั้งรายย่อยรายใหญ่ ต่างมองภาพทางเดียวกัน แย่งกันขายมากกว่าแย่งกันซื้อ ณ บริเวณ ราคาหนึ่ง(อาจมีช่วงต่างกัน 10% ถึง 50% ) การที่ท่านถือหุ้นราคาสูงกว่า แล้วซื้อถัวลง เพื่อหวังจะรีบาวน์ (มองไม่เห็นเป็นการคาดเดาเอาเองทั้งสิ้น) เมื่อลงก็ซื้ออีกเช่นนั้น เป็นความเสี่ยงแบบสิ้นคิดโดยแท้ ฟเพราะกระแสตลาดกำลังเชี่ยว คนหมู่มากไม่กลัวท่านมาซื้อถัวลง และยินดีที่ท่านยอมสละเงินมารองรับราคาต่ำไม่ให้ตกเร็วด้วยซ้ำ สุดท้ายเงินซื้อก็หมด ลงอีกก็ไม่มีเงินซื้ออีก ตามมาด้วยการขายคัทขาดทุนจนได้ )
ข้อ 21 ..Vs..อย่าเปลี่ยนหุ้น เพราะคิดว่าหุ้นอื่นราคาจะขึ้นดีกว่าตัวเก่าที่ถืออยู่ ในสภาวะตลาดขาลงรุนแรง
(อธิบาย …เมื่อสภาวะตลาดขาลงรุนแรง หุ้นทั้งกระดานจะถูกคนมองไร้ค่า ทุกคนจะมีแผนปกป้องเงินทุนตนเองก่อน ไม่ว่าจะเป็นนักค้าหุ้นประเภทใด Vi หรือ Vs เพราะกระแสตลาดจะถูกนำโดยหลักจิตวิทยามวลชนก่อนเสมอ เหตุผลจะตามมาทีหลัง ซึ่งไม่รู้ว่าอีกเมื่อใด )
ข้อ 22 ..Vi & Vs..เซียนหุ้นต้องการประสบการณ์เป็นปี ๆ และต้องผ่านทุกสภาวะการณ์ จึงสามารถเรียนรู้การเล่นหุ้นและประสพผลสำเร็จยั่งยืน อย่าคิดฝันรวยเงินล้านในสัปดาห์
(อธิบาย … คนที่สามารถทำกำไรได้ แบบยั่งยืน คือคนที่หลบออกเมื่อขาลง และเข้าถือเมื่อขาขึ้น ด้วยกำไรที่พอเหมาะและเป็นไปได้ตามเวลาที่พอเหมาะ ไม่ได้เพ้อฝันยาวไกลด้วยกำไรมหาศาล เพราะระบบตลาดเมื่อมีคนได้ ต้องมีคนเสียชดเชยกันเสมอ แล้วใครจะยอมเสียมากมายให้คนอื่น ๆ รวยเอารวยเอา)
ข้อ 23 ..Vi & Vs.. เมื่อใดที่เกิดความเชื่อมั่นในหุ้น 100% นั่นคือ ต้องทบทวนตนเองแล้ว เพราะตลาดหุ้นมีเรื่องประหลาดใจเสมอ ไม่มี 100%
(อธิบาย … ก่อนที่ใครจะเชื่อมั่น 100% แสดงว่า ผู้นั้นต้องพบกับเหตุการณ์ที่ตนเองตั้งสมมติฐานไว้ และมันเป็นไปตามนั้นอย่างแม่นยำ ซ้ำกันบ่อยจนรู้สึกมั่นใจเต็ม 100 จึงตัดสินใจซื้อ หรือ ขาย ตามความมั่นใจตนเอง โดยลืมไปว่า ในตลาด มีผู้คนกำลังมั่นใจเต็ม 100 เช่นเดียวกับตัวเรา หรือตรงข้ามกัน เขาเหล่านั้นก็กำลังลงมือ ตามความมั่นใจของเขาซึ่งอาจตรงข้ามกับเราเสมอ ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ปริมาณฝ่ายใดมากกว่า กระแสก็เดินตามฝ่ายนั้นไป มันอาจตรงข้ามกับความมั่นใจของเรา จนน่าประหลาดใจยิ่ง แต่ผลที่เกิดกับคนอื่น ตัวเราไม่เห็น ส่วนผลที่เกิดกับตัวเรามันชัดเจนยิ่งสิ่งใด ว่า ขาดทุนมากหรือกำไรน้อยนัก)
ข้อ 24 ..Vs.. เมื่อไม่แน่ใจแรงซื้อกับแรงขาย จงขายหุ้นนั้นทิ้งไปก่อน
(อธิบาย … การอ่านแรงซื้อแรงขาย ของหุ้น เป็นศาสตร์สำคัญในการจับทางเดินราคา ซึ่งต้องเรียนรู้ทั้งหลักวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา กราฟทางเดินราคา ตรรกะทั้งปวง ฯลฯ มันไม่ใช่ง่ายนักและพลาดได้เสมอตรงจิตวิทยามวลชนต่อหุ้น ดังนั้น หากอ่านไม่ออก แต่ราคากำลังลง ก็อย่าดื้อถือต่อไป นั่นคือความเสี่ยงที่ตนเองไม่เห็นแต่เข้ามาเกาะกินเราแล้ว)
ข้อ 25 .. Vs..จงตั้งเวลาสำหรับหุ้นที่ซื้อ ถ้าราคาไม่ได้ขึ้นตามเวลาที่กำหนดบวกลบ ให้ขายทิ้ง อย่าจมเงินในหุ้นที่ไม่นิยมนานเกินไป อย่าแกล้งทำเป็นเศรษฐี
(อธิบาย …การค้าหุ้นต้องกำหนดเวลาเสมอ เงินเกี่ยวกับดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเกี่ยวกับเวลา คนเล่นก็มีค่าใช้จ่ายรายวันรายเดือนเหมือนกัน จึงต้องกำหนดเวลาให้ราคาขึ้นที่พอเหมาะกับเวลา ซึ่งโดยปกติจะต้องขึ้นมากกว่าดอกเบี้ยปล่อยกู้ 5 ถึง 20 เท่าตัวตามสถานการณ์ เงินเฟ้อ เงินฝืด ฯลฯ ดังนั้นหากราคาหุ้นไม่ขึ้นในเวลากำหนดบวกลบ แสดงว่าหุ้นนั้นรายใหญ่ก็ไม่สนใจ เพราะไม่มีแรงซื้อมาสมดุลย์กัน จึงควรขายหุ้นนั้นทิ้งไป อย่าเสียดาย กลัวตกรถหรือประหยัดค่าคอมมิชั่น ตระหนี่ไม่เข้าท่า เงินถูกกักขังไว้ เป็นการอวดเศรษฐีเปล่า ๆ)
………
ข้อ 28 .. Vi & Vs..คนฉลาดจะเปลี่ยนกำไรบนกระดาษเป็นเงินสดเป็นระยะ ๆ ดีกว่ากอดกระดาษเปล่า เป็นปี ๆ
(อธิบาย … เนื่องจากระบบตลาดหุ้น มีรอบขึ้นรอบลง เสมอและเป็นไปตามกระแสตลาดตลอดเวลา ดังนั้น ควรรู้จักขาย เอากำไร เมื่อแนวโน้มเปลี่ยน และซื้อ คืนมาเมื่อแนวโน้มเปลี่ยนใหม่ เป็นการใช้ทรัพยกรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สร้างมูลค่า ดีกว่าทนดื้อกอดถือผ่านรอบราคา หลาย ๆ รอบ เพื่อยึดราคาเป้าหมายปลายทางเป็นสรณะ แม้รู้ว่า เวลานานราคาก็สูงขึ้นได้ ก็จริงอยู่ แต่การเก็บเกี่ยวกำไรตามรอบก็จำเป็นต้องทำเพื่อลดต้นทุนในการเข้าซื้อหุ่นครั้งต่อไปเสมอ ๆ มันเป็นการลดต้นทุนที่ชาญฉลาด ไม่ใช่เล่นแบบมือใหม่สมัครเล่น จงเป็นมืออาชีพเร็วพลัน )
ข้อ 29 ..Vi & Vs..ให้ระมัดระวังกับบุคคลที่ชอบมากระซิบว่ามีข่าววงใน
(อธิบาย … ตั้งแต่เพื่อนสนิทในวงการหุ้น เพื่อนในโลกไซเบ่อร์ เพื่อนในห้องค้า หรือแม้นักวิเคราะห์ใดๆ ที่มากระซิบผ่านสื่อ ผ่านห้องแชท ผ่านโทรศัพท์ แม้กระซิบด้วยปากเปล่า ว่าได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวน่าเชื่อถือ ต่อหุ้นต่าง ๆ คนพวกนี้ มักจะนำกำไรมาระยะแรกแต่ระยะยาวขึ้น คนขาดทุนคือตัวท่านเอง คนพวกนี้ไม่ได้รับรู้ดีร้ายต่อการขาดทุนของเรา แถมจะย้อนคำกลับว่า โง่เชื่ออะไรกัน ทางที่ดีที่สุด ควรเลิกคบคนพวกนี้ในวงการตลาดหุ้นดีกว่า บอกเขาตรง ๆไปว่า อย่ามาดูแคลนความสามารถส่วนตัวเราเลย ขอบใจที่มีความหวังดีซึ่งไม่รับประกันกำไรใดๆ )
ข้อ 30..Vi..การลงทุนในตลาดหุ้น เสมือนการทำสงคราม แม่ทัพที่ชาญฉลาดจะไม่สั่งกองทัพ ออกสู้รบเปลืองแรงตลอดเวลา
(อธิบาย …ความคิดนี้ประเภท Vi จะเชื่อสนิทใจ จนเกินจริงตามสมมติฐานไป ในความจริง แม่ทัพต้องอ่านสภาวะการให้ออกก่อน ถ้ามองเห็นช่องทางชนะ ก็ออกรบ แม้ระยะเวลาจะติดต่อกัน ก็ต้องรบถี่ เพื่อเอาชนะมีเป้าหมายใกล้จริง แต่หากมองไม่ออก ก็อย่าออกรบเด็ดขาด แม้จะไม่ได้กำไรจากหุ้นแต่ก็เสียค่าคอมมิชั่นโดยเหนื่อยเปล่า )
ข้อ 31 .. Vi & Vs ..จงจำไว้ว่า หุ้นทุกตัวที่สำคัญ มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอ ( ที่ชาวหุ้นเข้าใจว่า เจ้ามือนั่นแหละ ) ที่จะกำหนดราคาต่ำสุดของหุ้นนั้น และจะรับซื้อคืนเสมอ
(อธิบาย … หุ้นที่มีสภาพคล่องสูงสม่ำเสมอ ย่อมมีรายใหญ่หมายตาสนใจ และเข้าไปเขย่าราคาได้เสมอ และหากมีข่าวร้ายของกิจการ ก็เป็นการฉวยโอกาสทุบราคาได้ง่าย ทำให้เกิดการคำนวณส่วนต่างได้ง่าย ว่าขายเท่าใด ลงไป ณ ราคาเท่าใด รับจำนวนมากขึ้นเท่าใด จะคุ้มค่าเสี่ยงในการลากราคาสูงง่ายขึ้นและคุ้มความเสี่ยงเสมอ คนเป็นรายใหญ่จะอ่านออกมากกว่ารายย่อย เพราะเขาสนใจเก็บข้อมูลจำนวนหุ้นมากกว่าสนใจ เรื่องอื่นๆ เหมือนรายย่อยทั่วไปสนใจ )
ข้อ 32.. Vi ..อย่าซื้อขายหุ้นทุกวัน (สำหรับผู้ที่มีแผนลงทุนระยะยาว) เพียงปีละไม่กี่ครั้งก็พอ เวลาที่เหลือควรเฝ้าดูการปรับตัวหรือดูกลเม็ดของพวกนักปั่นหุ้นดีกว่า
(อธิบาย … ผู้ที่ตัดสินใจเล่นหุ้นระยะยาวอย่างมั่นใจแล้ว ต้องไม่หวั่นไหวต่อราคาที่แกว่งผันผวนตลอด ด้วยมีความมั่นใจในราคาเป้าหมายที่ตนยึดมั่นว่าเป็นไปได้ แน่นอน ตามระยะเวลาที่กำหนด อดทนต่อความผันผวนได้ แต่หากลงมือซื้อขายบ่อย อาจทำให้เป้าหมายราคาผิดไป หรือ แผนการล้มเหลวได้ง่าย)
ข้อ 33.. Vi & Vs .. คนซื้อขายหุ้นทุกวัน ส่วนใหญ่คือผู้วางฐานรากราคาให้กับคนที่เล่นยาว และเป็นกรรมกรหาเงินให้โบรกเกอร์ นอกจากมีแผนต่อกรที่ชนะบ่อยได้
(อธิบาย … คนที่เล่นหุ้นรายวัน หากไม่วางแผนกลยุทธการเล่นที่ดีพอ แทนที่จะลดความเสี่ยงแบบฉับพลันได้ จะกลายเป็นคนรับราคาสูง หรือเข้ากลุ่มหลงกลการปั่นราคาของรายใหญ่ไม่รู้ตัว อีกทั้งต้องเสียค่าคอมมิชั่นบ่อยจนกลายเป็นส่วนขาดทุนไป จำไว้เสมอว่า หากเล่นรายวันต้องมีกลยุทธเหนือข่าวปัจจัย เสมอ )
ข้อ 35 .. Vs ..ข้อผิดพลาดที่สำคัญของนักเก็งกำไร คือความโลภที่หวังรวยเร็วๆ ในเวลาสั้น ๆ
(อธิบาย … เป็นความสัมพันธ์ทางตรรกะ เกี่ยวกับ ราคา ,จำนวน, และเวลาเสมอ อย่าหวังรวยเร็วจำนวนมากในเวลาสั้น ๆ เพราะโอกาสเป็นไปได้นั้นน้อยมากจนสุดจะเอื้อม นอกจากจะมีโชคมหาศาล ดังเช่นถูกรางวัลที่ 1 ของสลากกินแบ่ง เพราะคนที่เข้าตลาดทั้งหมด มีเล่ห์กลการวางแผนไม่แพ้กัน นอกจากการเกิดอุบัติการณ์คาดไม่ถึงเท่านั้น )
ข้อ 36 .. Vi & Vs .. เมื่อตลาดซบเซา ราคาหุ้นส่วนใหญ่จะมีช่วงราคาแคบ ๆ อย่าเข้าซื้อขายเด็ดขาด ควรรอดูเหตุการณ์ว่าจะทะลุแนวต้านหรือแนวรับสำคัญเมื่อไร ค่อยลงมือก็ไม่สาย
(อธิบาย … คนส่วนมาก 95% กลัวการตกรถโดยไม่เข้าใจสภาวะตลาด หรืออ่านตลาดไม่ขาดว่าอยู่ในสภาวะใด เป็นกระทิง เป็นหมี หรือเป็นการเดินเฉียงข้างๆ การเข้าซื้อขายตลอดเวลา จะเป็นการเสียเปล่าโดยใช่เหตุ นอกเสียจากจะมีแผนการเล่นที่ฉมัง ก็แล้วไป )
ข้อ 37 .. Vi &Vs ..การที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น นักค้าหุ้นต้องมีกฎของตนเอง และปฎิบัติตามกฎของตนเองอย่างเคร่งครัด
(อธิบาย … การเล่นหุ้น เสมือนการหาสูตรอาหาร หากค้นพบสูตรการเล่นหุ้นที่ต้องใจตนเองสมเหตุสมผลและได้กำไรสม่ำเสมอ ก็ต้องปฎิบัติตามสูตรนั้นอย่างเคร่งครัด ข้อยกเว้นบ่อย ๆ จะทำคให้ผิดพลาดครั้งต่อไปได้ง่าย)
ข้อ 37 .. Vi &Vs ..การที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น นักค้าหุ้นต้องมีกฎของตนเอง และปฎิบัติตามกฎของตนเองอย่างเคร่งครัด
(อธิบาย … การเล่นหุ้น เสมือนการหาสูตรอาหาร หากค้นพบสูตรการเล่นหุ้นที่ต้องใจตนเองสมเหตุสมผลและได้กำไรสม่ำเสมอ ก็ต้องปฎิบัติตามสูตรนั้นอย่างเคร่งครัด ข้อยกเว้นบ่อย ๆ จะทำคให้ผิดพลาดครั้งต่อไปได้ง่าย)
ข้อ 38 .. Vi & Vs ..หากเกิดความไม่แน่ใจในตลาด จงรีบถอนตัวออกจนกว่าจะหายสงสัยหรือมั่นใจกว่าเดิม
(อธิบาย … ตลาดหุ้นเป็นธุรกรรมท้าทายเสมอ ไม่ใช่มีสูตรมาตรฐานว่าต้องเล่นแบบไหนดีที่สุด บางสูตรอาจดีระยะเวลานาน อีกสูตรจะดีแค่ข้ามคืน คนมีความรู้สูงอาจแพ้คนไม่มีความรู้ในการลงมือแต่ละครั้ง แต่ระยะยาวควรศึกษาให้รู้กระจ่างถึงตรรกะของตลาดจะทำให้มองตลาดได้กว้างไกลกว่า)
ข้อ 39 .. Vs .. ไม่มีรถเที่ยวสุดท้ายในตลาดเพื่อการแสวงกำไร ถ้าไม่มั่นใจอย่ากระโดดขึ้นเที่ยวสุดท้ายที่ตนเองเข้าใจนั้น เพราะอาจเป็นรถด่วน นรกโดยแท้
(อธิบาย … ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่มักเกิดจากการเชื่อข่าวรอบตัวว่า นี่คือเที่ยวสุดท้าย จงเข้าใจว่าตลาดหุ้นไม่มีเที่ยวสุดท้าย แต่ตัวเราเองอาจเป็นคนแรกที่ต้องออกจากเที่ยวสุดท้ายเพราะขาดทุนยับเยิน ตลาดคงอยู่ โอกาสยังมีเสมอ ถ้าต้องรอนานคือโอกาสกำไรจะยิ่งมากกว่า รอสั้น ๆ )
ข้อ 40 .. Vs ..จงทำการซื้อขายแต่หุ้น ACTIVE อย่าสนใจหุ้นไม่ แอคทีฟ เด็ดขาดแม้ตัวหุ้นนั้นจะดูดีเพียงใด
(อธิบาย… ข่าวดีข่าวร้ายจะสะท้อนภาพมาที่จำนวนซื้อขายจริงในตลาดปัจจุบัน หุ้นที่ไม่มีคนเล่น ราคาก็ไม่เคลื่อนไหวเสมอ หรือหากมีการเคลื่อนไหว ก็ไม่ให้โอกาสรายย่อยทั่วไปเข้าไปได้ครอบครองจำนวนมาก เพราะรายใหญ่เก็บไว้หมดแล้ว ต้นทุนต่ำมากแล้ว หรือไม่ก็ไม่มีสภาพคล่องเพราะเป็นหุ้นนเน่ามาหลายสิบรอบ จนคนเอือมระอากับราคาและจำนวนที่เล่น อย่าเข้าไปแม้แค่ตีตั๋วดูเด็ดขาด)
ข้อ 41 ..Vi & Vs.. เมื่อมีกำไรจากหุ้น จงแยกกำไรนั้นออกเพื่อไว้ใช้สอยหรือสำรองก่อน ซึ่งเงินนี้อีกไม่นานต้องได้ใช้แน่ ๆ
(อธิบาย … เมื่อมีกำไรจำนวนมาก แสดงว่าตลาดเข้าสภาวะกระทิง หากขายได้กำไรต้องแยกเก็บทันที อย่าเอากำไรหวนเข้าไปเป็นทุนตามความโลภของตลาดเด็ดขาด เพราะอีกไม่นานนัก ตลาดก็จะเปลี่ยนแนวโน้มและราคาหุ้นจะตก เงินที่กำไรก็ได้ใช้ประโยชน์กลับมาเป็นทุนซื้อราคาต่ำๆได้อีก)
ข้อ 42 ..Vi & Vs..อย่าซื้อขายหุ้นเพียงเพราะ …หมดความอดทน…ในราคาหุ้นที่รออยู่ เพราะอาจมีคนใจเย็นกว่าจ้องลงมือสวนการลงมือของตัวเราเอง
(อธิบาย … คนส่วนใหญ่แพ้ตลาดด้วยอารมณ์ตนเอง ไม่อดทน รีบร้อนเหมือนจะไปปล้นเงินเขา ทั้งที่ไม่มีแผนการใดๆ รองรับการลงมือครั้งนั้นเลย อย่าลืมว่า ในหุ้นแต่ละตัวจะมีคนหลากหลายสถานะจ้องอยู่เสมอ เขาอาจเป็นรายใหญ่กว่า รู้เกมดีกว่า ฉลาดกว่าเราเสมอ จ้องลงมือตามหลังเรา แต่ที่สำคัญ ทำสวนทางกับตัวเรา นี่คือเรื่องน่าเจ็บปวดยิ่งนัก)
ข้อ 43 .. Vi & Vs..อย่าขายหุ้นเพราะคิดว่าราคาแพง จงขายเพราะหุ้นตัวนั้นขึ้นต่อไม่ได้อีกแล้ว
(อธิบาย … บ่อยครั้งที่มักได้ข่าวจากรอบข้างว่า ตอนนี้หุ้นตัวนี้ราคาแพงแล้ว แต่ไม่บอกว่าแพงเพราะอะไร ทำไมแพง เท่าใดจึงถูก หากพบเจอข่าวแบบนี้ทั้งที่ตัวเราเองมีหุ้นนั้นครอบครองอยู่ จงรีบตรวจสอบราคาหุ้นว่า เคยขึ้นกี่ % ในระยะเวลาเท่าใด และบัดนี้ ขึ้นช้าลงหรือ วกวนอยู่กรอบราคาแคบๆ นานแล้ว จึงค่อยตัดสินใจปล่อยออก อย่าดื้อรั้นถือ และก็อย่ารีบร้อนเชื่อข่าวตามความกลัว เพราะความกลัวทำให้เสื่อมเสมอๆ)
ข้อ 44..Vi & Vs.. ผู้ประสบผลสำเร็จต้องชนะ…จุดอ่อน… ของผู้อื่นให้ได้
(อธิบาย … ในตลาดหุ้นมีคนมากมาย แต่ส่วนใหญ่มีจุดอ่อนที่ใจ ความฉลาดหรือกลยุทธการเล่นอาจรู้เรียนเท่าทันได้ แต่อารมณ์ในใจ ควบคุมยากและแตกต่างกัน คนที่จะชนะเอากำไรได้ดี ต้องชนะจุดอ่อนคนในตลาดภาครวมให้ได้)
ข้อ 45 ..Vs.. เมื่อมีกำไรมาก ๆ จงลดจำนวนซื้อให้น้อยลง มิเช่นนั้นกำไรที่ได้อาจหายเกลี้ยงชั่วข้ามคืน
(อธิบาย … ตลาดจะไม่ยืนแจกเงินให้คนเล่นยาวนาน แต่หากมี เวลาเอาคืนก็หนักหนาสาหัสและรวดเร็วเช่นกัน จนทำให้เกิดการตื่นตระหนกได้ ถึงตอนนั้น แม้ขอกำไรคืนสักเล็กน้อยก็ไม่ให้ อย่าหวังเลย)
ข้อ 46 .. Vi & Vs..คนเล่นหุ้นมีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ การตั้งความหวังเป็นตัวเลขเกินจริง และต้องผิดหวังเสมอ จงเล่นหุ้นตามทิศทางตลาด ให้ตลาดกำหนดกำไรให้เราดีกว่า จนเกิดภาษิตที่ว่า …กำไรตลาดเป็นผู้ให้ ส่วนขาดทุนเรานั่นแหละทำเอง….
(อธิบาย…คนเล่นหุ้นมักมีความคิดยะโสในปัญญาตนเอง คิดว่าตนเองเก่งความรู้สูงอ่านงบออกเข้าใจตลาดดี แต่โดยส่วนใหญ่สุดท้ายมักแพ้ตลาดจนต้องคอตกออกจากตลาดไป แม้เป็นนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญ หากวันใดออกจากระบบเงินเดือน มาลงมือเองจะพบความพ่ายแพ้ชัดเจน เหตุผลง่ายๆ สองข้อ คือ ตลาดคือระบบมีคนได้ต้องมีคนเสียเสมอๆ (Zero Sum ) ตลาดจะมีแนวโน้มของมันเองตามกระแสรวม ใครจะมาเก่งสวนกระแสแนวโน้มก็รอวันขาดทุนไป ใครจะลงมือ 100 ครั้งกำไร 100 ครั้งไม่มี ตลาดไม่ยอมให้แน่ๆ อย่าหวังเสียให้ยาก)
ข้อ 47.. Vi & Vs.. อาจมีคนให้ทฤษฎีเล่นหุ้นให้ท่าน เพื่อหวังให้ท่านพ้นจากแมงเม่า พ้นชีวิตรายย่อยที่ถูกเอาเปรียบ แต่ท่านก็ยังขาดทุน เพราะธรรมชาติของจิตจะขัดขวางกฎเกณท์นั้นเสมอ
(อธิบาย…การเล่นหุ้น ก็เหมือนการค้าขายแบบหนึ่ง ต้องมีทุน ต้องวางแผนกลยุทธ เพื่อให้ได้กำไร ทุกขั้นตอนไม่ใช่ผ่านง่าย ๆ แต่ระบบมันทำให้รู้สึกง่าย แค่ซื้อแล้วรอดวง เมื่อขึ้นก็ขาย เมื่อลงก็ซื้อ ความแตกต่างอยู่ที่การกำหนดสูตรที่ดีเหมาะกับตนเอง ดังนั้นตลอดเวลาตัวเราเองจะทำร้ายตัวเองด้วยความคิดความโลภเสมอ ขาดวินัย ละเลยยอมให้ตนเองผ่านสิ่งที่ผิดง่ายๆ จึงมักขาดทุนเป็นนิจ)
ข้อ 48.. Vi &Vs..อย่าซื้อหุ้นเมื่อตลาดซบเซา อย่าทำซ๊อตแซลด้วย เพราะมันคือช่วงเวลาเสี่ยงและน่าเบื่อหน่ายในการรอ
(อธิบาย… เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาตลาดซบเซา คือ ไม่มีวอลุ่ม กระแสเงินหายจากตลาด แต่อย่าลืมว่า จำนวนหุ้นที่จดทะเบียน ยังอยู่ครบ ดังนั้นหากราคากระเตื้องเพียงเล็กน้อย คนถือหุ้นก็อยากโยนขายให้เต็มที่ ดังนั้น ซื้อได้แต่ขายไม่ออกนอกจากขายขาดทุนเท่านั้น)
ข้อ 49 ..Vi &Vs..จำไว้ในสมองอันปราดเปรื่องของท่านว่า โอกาสทำกำไรดีที่สุดคือ ช่วงตลาดตื่นตระหนกและตลาดผันผวน
(อธิบาย …ตลาดที่ตื่นตระหนก มักไม่มีเหตุผลทั้งตื่นขาย และตื่นซื้อ คนจะมีความกล้าแบบบ้าบิ่น หรือ กลัวจนเหมือนบ้า ดังนั้นจะเกิดราคาพุ่งสูงรวดเร็ว ขายปุ๊บขึ้นต่อปั๊บ แต่เวลาลง ซื้อปุ๊บ ลงต่อปั๊บ การลงมือที่เร็วโดยไม่ไตร่ตรองหรือ มีแผนรองรับ อาจทำให้ขาดทุนกำไรและขาดทุนเงินอย่างรวดเร็วและมากมาย ซึ่งจะส่งผลต่อจิตใจและความคิดมาก ต้องระวังหรือ ทยอยลงมือ ปล่อยเวลาเดินทางนำไปก่อน)
ข้อ 50.. Vi &Vs ..ตลาดตื่นตระหนก คือ ราคาหุ้นเกือบทุกตัวลงพร้อมกัน ด้วยข่าวจริงหรือข่าวลือเหลือเชื่อ ไม่มีเหตุผล หุ้นที่มีปัจจัยคงที่ก็ลงแรงไม่แพ้กัน
(อธิบาย… เวลาที่ตลาดตื่นตระหนก panic จะเกิดจากเหตุใดก็ตาม แรงขายจะกระหน่ำจากรายใหญ่ก่อน ที่ทำให้รายย่อยเห็นแล้วสร้างภาพความกลัวต่อเนื่องเป็นระลอก ทั้งที่รายใหญ่หยุดขาย แต่แรงขายจากรายย่อยเองก็ยังกระทบต่อไป จนกว่าจะเห็นรายใหญ่เข้าช้อนซื้อสวน หลายครั้ง รายย่อยจึงจะหยุด)
ข้อ 51 .. Vs..ซื้อหุ้นราคาติดพื้น floor ในช่วงเช้า ดีกว่าได้ในช่วงบ่าย เพราะหากตลาดช่วงบ่ายพลิกผัน ก็อาจขายทำกำไรได้
(อธิบาย…คนทั่วไปมักคิดว่า หุ้นที่ติดพื้นช่วงเช้าไม่น่าซื้อ ควรรอข่าวกระจ่าง หากข่าวดีค่อยไปซื้อช่วงบ่าย แต่ลืมไปว่า การซื้อช่วงบ่ายจะตั้งขายราคาสูงขึ้นต้องต่อคิวอันดับรองจากผู้ที่ซื้อช่วงเช้าก่อน และอีกทั้งจำนวนคิวก็มากมาย เพราะทุกคนมีสัญชาตญานลดความเสี่ยงเป็นปกติวิสัยอยู่)
ข้อ 52..Vs..ซื้อหุ้นติดเพดานช่วงบ่ายดีกว่า
(อธิบาย…เพราะหุ้นที่ติดเพดาน มีอากาสพลิกผันง่าย ถ้าข่าวที่ตลาดรับรู้ไม่มั่นคง หากซื้อช่วงเช้าพอบ่ายพลิกผันก็ไม่มีทางแก้ตัวนอกจากขายขาดทุนอย่างเดียว แต่หากซื้อช่วงบ่าย อย่างน้อยเวลาที่ผ่านไปก็ให้โอกาสของข่าว ถ้าข่าวดีจริง ราคาคงตกจากราคาเพดาน ceiling ไม่มาก ให้โอกาสซื้อได้ และหากซื้อติดเพดาน ก็มีโอกาสขายได้ราคาวันถัดไป)
ข้อ 53..Vi & Vs.. อย่าเชื่อนักวิชาการมากนัก หากเทียบศักยภาพกับรายย่อย พวกเขาอาจเล่นหุ้นขาดทุนมากกว่าอีก
(อธิบาย…ระบบตลาดหุ้นเป็นระบบท้าทายมาก และยืดหยุ่นมาก การค้าหุ้นต้องมีศิลปะไม่น้อย รายย่อยที่มีประสบการณ์ค้าขาย ส่วนมากก็เล่นได้ดีกว่านักวิชาการที่รู้แต่การอ่านเลขทางบัญชี ส่วนกลเม็ดการวางคำสั่งซื้อขาย การตัดสินใจยืดหยุ่นมักแพ้รายย่อยที่มีประสบการณ์ไม่ได้)
ข้อ 54 ..Vi & Vs..อย่าเชื่อนักวิเคราะห์ที่ยอมรับเลี้ยงข้าวจากท่าน ท่านจะไม่ได้อะไรจากเขานอกจากคำหวานๆ
(อธิบาย… ปัจจุบันอาจมีกฎข้อห้ามเรื่องจรรยาบรรณ แต่สมัยก่อน นักวิเคราะห์มักมีนัดทานอาหารกับรายใหญ่เสมอ นั่นคือภาพที่เห็นแต่ส่วนลึก รายใหญ่จะไม่ค่อยได้อะไรจากผู้รับเชิญเท่าใดนัก)
ข้อ 55 ..Vi & Vs..มาตลาดหุ้นทุกวัน(สมัยก่อน ) หรือเฝ้าจอหุ้นทุกวัน(สมัยนี้) อย่าพกลมกลับไป ควรเรียนรู้วิธีการเล่นของผู้อื่นเป็นบทเรียน
(อธิบาย…ในตลาดหุ้นจะเป็นแหล่งรวมผู้คนและความคิดหลากหลาย เล่ห์กลเหลี่ยมคู ยุทธวิธี ต่าง ๆ ตามกาลและสภาวะของตลาด แม้เราจะไม่มีโอกาสนั่งประกบดูการซื้อขายกับตาของรายใหญ่ แต่ภาพในจอหุ้น การตั้งราคา การถอนออก การเสริมเข้า จำนวนและความถี่ ล้วนมีกลยุทธ์ซ่อนเร้นเสมอ ควรดูและจดจำแล้วนำไปเทียบผลตอนจบ จะรู้เล่ห์กลต่างๆ ชัดเจนขึ้น)
ข้อ 56.. Vi &Vs..ซื้อเช้าขายบ่าย ซื้อวันนี้ขายพรุ่งนี้ เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในตลาดหุ้น แต่จะทำกำไรยากที่สุดเมื่อไม่รู้วิธีการ
(อธิบาย…เคยลองคิดดู ทุกวันตลาดเปิด ปิดตลาดจะมียอดซื้อขายเสมอ กลุ่มที่ซื้อ ก็อาจซื้อต่อเนื่อง หรือขายต่อเนื่องตามสภาวะตลาด แต่ต้องมีคนรองรับ มีคนซื้อก็มีคนขาย หุ้นก็ถูกโอนถ่ายเปลี่ยนมือ แต่ในสังคมหุ้น เราจะพบแต่คำว่า ซื้อแล้วเก็บยาว ๆ หากเป็นเช่นนั้นจริง หุ้นดีๆต้องถูกเก็บจนหายเกลี้ยงในตลาดหมดไปนานแล้ว แต่ทำไมยังมีคนนำออกมาขายอีก(จำนวนมากด้วย) รายย่อยร้อนเงินขาย ? ก็ต้องถูกคนไม่ร้อนเงินเก็บไว้ยาวนาน ความจริงข้อนี้ รายย่อยไม่ค่อยสนใจฉุดคิด มันคือกลยุทธการลดทุนแบบหนึ่งที่ชาญฉลาดมาก หรือกลยุทธการสร้างราคา หรือทั้งสองอย่าง แต่รายใหญ่ไม่บอกให้รู้ ทุกวันทุกคนก็ซื้อ ๆขาย ๆ ไม่มีหมดสิ้น เพราะมันคือวิธีการลดต้นทุนดีกว่าการรอราคามาตามเป้าหมาย)
ข้อ 57 ..Vi &Vs..นักวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานจะบอกแต่หุ้นน่าซื้อ ส่วนนักวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค จะบอกเวลาที่น่าซื้อ และน่าขายให้
(อธิบาย…การวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานจะอ่านได้เพียงราคาที่เหมาะสมน่าซื้อ ตามหลักคำนวณพื้นฐาน ส่วนราคาน่าขาย ขึ้นกับผู้ถือหุ้น พอใจ ถ้าคนเล่นหุ้นอยากซื้อควรถามนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
ส่วนหลังจากซื้อไปแล้ว ต้องถามนักวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิค เพราะกราฟที่เกิดจากสิ่งที่ผ่านพ้นจริง จะบ่งบอกจิตใจคนส่วนมากว่า เขาขายที่บริเวณราคาไหน และความเสี่ยงที่ถือหุ้นบริเวณไหน ได้ดีกว่าข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน ในเวลาที่พอเหมาะ)
ผมเขียนมาถึงข้อนี้ก็ได้จบ ตำราเล่นหุ้นลง ท่านที่สนใจสามารถรวบรวมตั้งแต่ต้นได้ ส่วนการรวมเล่มกำลังเตรียมรวบรวมต่อไป
ข้อมูลวันที่ 4 กค 2556
เท่าที่สังเกตุการ เทรดตลอดวัน และผลสรุปออกมา กองทุนไทยขายสุทธิมากกว่า มีข้อฝากให้สังเกตุคือ จากนี้ไป ไม่ค่อยกลัวต่างชาติขายแล้ว เพราะ กองทุนไทยสะสมหุ้นไว้เต็ม หลายหมื่นล้านบาท จึงให้คอยสังเกตุแรงขายจากกองทุนไทยมากกว่า เมื่อเป็นกองทุนไทยขาย สไตล์การขาย การซื้อจึงไม่เหมือนต่างชาติ ที่ขายก็คือทิ้งไปไม่ใยดี แต่กองทุนไทยจะมีการขายสไตล์คติคิดแบบไทยๆ คือ การโยกขึ้นขาย โยกลงซื้อ ไม่ให้รายย่อยรู้ตัว เป็นระยะๆ จึงต้องใช้กลยุทธปกติ คือ ขึ้นเกิน + 5 + 8 ช่องราคาควรขายบางส่วนออกไปก่อน อย่าเสียดายขายหมู จากนั้นรอซื้อตอนปิดตลาดเอาคืนมา ให้รับจำนวนมากขึ้นตามโปรแกรมแนะนำไว้ อย่าลืมลบฝั่งซื้อ และคงตัวเลขฝั่งขายไว้ ก็จะมองเห็นจำนวนที่ต้องซื้อคืน ณ ราคาใกล้ตลาดปิดเย็น เล่นแบบนี้ ดัชนีจะไป 1600 ก็ไม่หวั่น จะตกลงไป 1000 จุดก็ไม่น่ากลัวและในมือจะคงกำไรตลอดเวลา ไม่กำไรหุ้นก็กำไรเงิน เสมอ ๆ