แนวคิดดั้งเดิมของคนเล่นหุ้นเลยก็คือว่า สภาพคล่องเยอะๆดีหุ้นตัวเล็กๆซื้อขายน้อยๆอย่าเข้าไปยุ่ง ให้ซื้อแต่ตัวที่สภาพคล่องเยอะๆก็พอเวลาจะซื้อขายจะได้ทำได้ง่ายๆ
ต่อมา value investor ก็บอกว่าสภาพคล่องไม่ใช่ปัญหา สภาพคล่องที่น้อยแต่ value ของหุ้นสูงกว่ามูลค่าในกระดานย้อมน่าซื้อ เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลที่เราจะเอา value ของหุ้นไปแลกกับสภาพคล่อง เช่น หุ้นที่มี value น้อยกว่าแต่สภาพคล่องเยอะกว่าย้อมไม่ได้ดีไปกว่าหุ้นที่ value สูงแต่สภาพคล่องน้อยกว่า สรุปก็คือ สภาพคล่องไม่ควรถูกมองว่าเป็น value อย่างนึงของหุ้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนเห็นคุณค่าของมันสภาพคล่องก็จะมาเอง
ต่อมาก็มีคนที่ชอบเล่นหุ้นตัวเล็กๆเช่นกลุ่ม mai แล้วก็อัดมาร์จิ้นเยอะๆโดยใช้แนวคิดว่าไม่เป็นไรเดี่ยวมีคนเห็น value หุ้นก็ขึ้นเองซึ่งในภาวะปกติก็ไม่เป็นไรแต่พอเกิดวิกฤติ subprime พอร์ตการลงทุนก็ติดลบหนักกว่าตลาด ที่ติดลบหนักไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าหุ้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด แต่เป็นเพราะว่าถึงรู้ก็ออกไม่ได้ จึงนำมาซึ่งข้อสรุปบางอย่างอีกว่า ถ้าคุณจะเล่นหุ้นสภาพคล่องน้อยๆแล้วคิดว่าสุดท้ายต้องมีสภาพคล่องนั้นเป็นการมองว่าคุณจะต้องคิดถูกแน่นอน สุดท้ายหุ้นตัวนั้นต้องขึ้นสภาพคล่องต้องมา ซึ่งบนโลกของความเป็นจริงไม่มีใครที่คิดถูกตลอดเวลา จริงๆแล้วการที่หุ้นมีสภาพคล่องเยอะๆเป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาดในกรณีที่คุณคิดผิดคุณจะได้ไม่ต้อง discount ราคาหุ้นลงไปจากราคาปัจจุบันเยอะมาก
นักลงทุนยิ่งเล่นหุ้นนานถ้าเล่นแล้วกำไรต่อเนื่องพอร์ตการลงทุนก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆซึ่งจากที่เล่นแล้วไม่เคยมีปัญหาด้านสภาพคล่องเพราะว่าซื้อขายหุ้นตัวเล็กๆก็ทำได้ง่ายก็จะเริ่มมีปัญหาขึ้นมา ซึ่งนักลงทุนสำหรับปรับตัวเป็นอย่างมากกับขนาดพอร์ตที่ใหญ่ขึ้นไม่ใช่จะเล็กจะใหญ่กูก็อัดจิ้นกับหุ้นตัวเล็กๆตลอดเวลา แบบนี้ผมคิดว่าไม่ใช่วิธีการที่คำนึงถึงผลตอบแทนเปรียบเทียบความเสี่ยงแต่เป็นการคำนึงแต่ด้านของผลตอบแทน
ปัจจัยในการพิจรณาเรื่องสภาพคล่องเบื้องต้นของผมเป็นดังนี้
1.ความมั่นใจในการเล่นหุ้นตัวนั้น โดยพิจรณาจากการมีตัวเร่งทางพื้นฐานของหุ้นไหมเช่น หุ้นที่กำไรทำ new high ได้ปันผลค่อนข้างสูง ย่อมมีระยะเวลาในการหวังผลจากการลงทุนที่ชัดเจนกว่า หุ้นถูกโดยดูจาก pe pbv ถ้าซื้อหุ้นถูกเพื่อหวังว่าซักวันจะมีคนมาลากขึ้นไป แบบนี้ผมว่าคงต้องคิดเรื่องสภาพคล่องบ้างไม่งั้นถ้าไม่มีคนมาลากแล้วเราซื้อเยอะมากๆแล้วเกิดอยากออกคงไม่พ่นต้องเฉือนเนื้อตัวเอง
2.มีการกระจายการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนๆนึงเล่นหุ้น 10 ตัวในพอร์ตกับอีกคนนึงเล่น 3 ตัวในพอร์ตคนที่เล่น 10 ตัวอาจจะเล่นหุ้นสภาพคล่องน้อยกว่าได้เพราะว่าเม็ดเงินลงทุนต่อหุ้นจะไม่สูงเท่ากับคนที่โฟกัสไม่กี่ตัว
3.มีการใช้มาร์จิ้นไหม คนเล่นมาร์จิ้นจะต้องคำนึงถึงสภาพคล่องสุดๆเนื่องจากการใช้มาร์จิ้นเยอะๆจะมีการถูก force sell ได้และถ้าสภาพคล่องหุ้นไม่เยอะเกิดมีคนโยนจนหุ้นติดลบมากๆแล้วเราอยากจะขายแต่ bid ไม่เพียงพอ นั้นคงเป็นหายนะของการลงทุนเลยทีเดียว