ในการประเมินมูลค่าหุ้น ตัวแปรที่มีปัญหาที่สุดคือการหา growth ครับ มาดูกันว่าส่วนใหญ่ประเมิน growth ผิดพลาดกันอย่างไรบ้าง
Myth ที่ 1 ใช้อัตราการเติบโตระยะสั้นเพียงปีต่อปี แทนที่จะใช้ long-term growth
สมมติว่าหุ้น A ปัจจุบัน มีราคาที่ 30 กำไรต่อหุ้นที่ 1 บาท นั่นคือเทรดกันที่ P/E 30 เท่า ปีที่ผ่านมามีอัตรากำไรเติบโตสูงกว่า 28% จึงคาดว่าปีหน้ากำไรจะโต 35% ปรากฏว่าปีหน้าโต 30% ปีถัดไปคาดว่าจะโต 25%
ปีที่ X0 เติบโตจริง 28% คาดว่าจะโตปีหน้า 30% EPS วันนี้ = 1 P/E 30 price 30
ปีที่ X1 เติบโตจริง 30% คาดว่าจะโตปีหน้า 22% EPS วันนี้= 1.30 P/E 22 price 29.9
ปีที่ X2 เติบโตจริง 22% EPS วันนี้= 1.30 P/E 22 price 35
ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงราว 8% ต่อปี
สมมติว่าหุ้น A ปัจจุบัน มีราคาที่ 30 กำไรต่อหุ้นที่ 1 บาท นั่นคือเทรดกันที่ P/E 30 เท่า ปีที่ผ่านมามีอัตรากำไรเติบโตสูงกว่า 28% จึงคาดว่าปีหน้ากำไรจะโต 35% ปรากฏว่าปีหน้าโต 30% ปีถัดไปคาดว่าจะโต 25%
ปีที่ X0 เติบโตจริง 28% คาดว่าจะโตปีหน้า 30% EPS วันนี้ = 1 P/E 30 price 30
ปีที่ X1 เติบโตจริง 30% คาดว่าจะโตปีหน้า 22% EPS วันนี้= 1.30 P/E 22 price 29.9
ปีที่ X2 เติบโตจริง 22% EPS วันนี้= 1.30 P/E 22 price 35
ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงราว 8% ต่อปี
ต้องคำนึงเสมอว่าราคาหุ้นนั้นเทรดกันบนความคาดหวัง หากปีหน้าความคาดหวังลดลง อาจจะเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในหรือภายนอก P/E ก็จะเปลี่ยนไปด้วย หากปีหน้าความคาดหวังลดลงเหลือเพียง 22% ราคาหุ้นจะลดลงเหลือเพียง 29.9 ไม่ใช่ 39 (1.3x30) เพราะปี X1 P/E เหลือเพียง 22 ไม่ใช่ 30 เท่าปี X0 ดังนั้นที่คาดหวังจะได้ผลตอบแทนปีละ 20-30% กลับไม่ได้ตามที่คาด จากตัวอย่าง ทั้งที่หุ้นมีกำไรเพิ่มเฉลี่ย (X1-X2) = 21% ต่อปี แต่กลับได้ผลตอบแทนเพียง 8%ต่อปี นี่เป็น basic case ที่คิดว่าหลายๆคนก็เป็น ทำไมถือหุ้น Growth แต่ ผลตอบแทน port ไม่ได้ตามนั้นเลย
Myth ที่ 2 ควรใช้ expected growth ไม่ใช่ growth ปีล่าสุด
คล้ายกันกับตัวอย่างแรก เอาการเติบโตปีล่าสุดมาตั้ง เช่นหุ้นบางตัว ปี 2555 โต 50% เลยใช้ 50 เป็นตัวหาร ทีนี้เลยเทรดกันแพงหูฉี่ อย่าลืมว่ากำไรที่เกิดนั้นอาจเกิดจากรายการ one-time gain ทำให้กำไรพุ่งสูงผิดปกติ หากตัดออกกำไรอาจไม่โตเลยก็ได้ กำไรพวกนี้เคยกล่าวไว้หลายครั้งและว เช่น กำไรจากการต่อรองราตาซื้อ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากสัญญาอนุพันธ์ กำไรจากการขายสินทรัพย์ ตัวนี้ปีหน้าจะพบมาก เพราะการขายสินทรัพย์เข้า REIT, Property Fund หรือพวก Infrastructure Fund กำไรพวกนี้ไม่ควรมารวมคิดใน growth เว้นแต่เก็งกำไร (ซื้อปีนี้ขายปีหน้า) ก็ไม่ว่ากัน แต่ไม่ใช่ของแนวคิดการถือระยะยาวแบบการลงทุนจริงๆ
คล้ายกันกับตัวอย่างแรก เอาการเติบโตปีล่าสุดมาตั้ง เช่นหุ้นบางตัว ปี 2555 โต 50% เลยใช้ 50 เป็นตัวหาร ทีนี้เลยเทรดกันแพงหูฉี่ อย่าลืมว่ากำไรที่เกิดนั้นอาจเกิดจากรายการ one-time gain ทำให้กำไรพุ่งสูงผิดปกติ หากตัดออกกำไรอาจไม่โตเลยก็ได้ กำไรพวกนี้เคยกล่าวไว้หลายครั้งและว เช่น กำไรจากการต่อรองราตาซื้อ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากสัญญาอนุพันธ์ กำไรจากการขายสินทรัพย์ ตัวนี้ปีหน้าจะพบมาก เพราะการขายสินทรัพย์เข้า REIT, Property Fund หรือพวก Infrastructure Fund กำไรพวกนี้ไม่ควรมารวมคิดใน growth เว้นแต่เก็งกำไร (ซื้อปีนี้ขายปีหน้า) ก็ไม่ว่ากัน แต่ไม่ใช่ของแนวคิดการถือระยะยาวแบบการลงทุนจริงๆ
Myth ที่ 3 Over expected growth หรือ aggressive มากเกินไป
อันนี้ก็เช่นกัน Basic case อีก คล้ายกับ Myth 2 คาดหวังสูงเกินจริง อย่าลืมว่า Business cycle กับ Economic cycle หรือ Industrial cycle มันมีวงจรขึ้นลงของมันตามธรรมชาติอยู่ ฝืนไม่ได้ บางที growth สูงปีนี้ อาจเกิดจากวงจนขาขึ้น 3-4 ปีที่ผ่านมา อาจใกล้จบวงจรขึ้นช่วงตอนปลายแล้วก็ได้ ทุกตัวเลขทีใช้จึงต้องกลั่นกรองดูให้รอบด้าน ผ่านการวิเคราะห์ทั้ง micro และ macro
อันนี้ก็เช่นกัน Basic case อีก คล้ายกับ Myth 2 คาดหวังสูงเกินจริง อย่าลืมว่า Business cycle กับ Economic cycle หรือ Industrial cycle มันมีวงจรขึ้นลงของมันตามธรรมชาติอยู่ ฝืนไม่ได้ บางที growth สูงปีนี้ อาจเกิดจากวงจนขาขึ้น 3-4 ปีที่ผ่านมา อาจใกล้จบวงจรขึ้นช่วงตอนปลายแล้วก็ได้ ทุกตัวเลขทีใช้จึงต้องกลั่นกรองดูให้รอบด้าน ผ่านการวิเคราะห์ทั้ง micro และ macro
Myth ที่ 4 ไม่หา growth จาก EPS แต่หาจากกำไรสุทธิรวม ซึ่งมีการเพิ่มทุนและเกิด dilute
เช่น
เช่น
บริษัท A ปี 54 มีกำไรสุทธิ 4,500 MB มีหุ้นทุน 3,000 หุ้น EPS = 1.5 per share P/E 16 price = 24
กลางไตรมาส4 ปี 54 เพิ่มทุน 1:1 เพื่อขยายงาน คาดว่าปีหน้ากำไรจะเพิ่มขึ้น 50%แต่เรากลับคาดว่า growth ของกำไรจะโตได้ถึง 50% แน่นอน เลยซื้อที่ P/E ถึง 30 เท่า ที่ราคา 45 บาท
ปี 55 มีกำไรสุทธิ 7,650 MB ได้ตามเป้าหมาย กำไรรวมเพิ่มขึ้น 50% มีหุ้นทุน 6,000 หุ้น EPS = 1.275 per share P/E 16 price = 20.4
ปี 56 มีกำไรสุทธิ 9,563 MB กำไรเพิ่ม 25% มีหุ้นทุน 6,000 หุ้น EPS = 1.59 per share P/E 25 price = 39.75
กรณีแบบนี้จะเห็นว่ากำไรก้าวกระโดดจาก 4,500 เป็น 7,650 และ 9,563 แค่ EPS จาก 1.5 เป็น 1.275 และ 1.59 ตามลำดับ ถ้าดูจากกำไรสุทธิอาจเพิ่ม 50% และ 25% แต่ถ้าดูจาก EPS จะเติบโต -85% และ 25%
case แบบนี้เห็นใน web VI หลายที่เขียนกัน ต้องระวังครับใช้ได้ถ้าไม่มีการเพิ่มทุน
กลางไตรมาส4 ปี 54 เพิ่มทุน 1:1 เพื่อขยายงาน คาดว่าปีหน้ากำไรจะเพิ่มขึ้น 50%แต่เรากลับคาดว่า growth ของกำไรจะโตได้ถึง 50% แน่นอน เลยซื้อที่ P/E ถึง 30 เท่า ที่ราคา 45 บาท
ปี 55 มีกำไรสุทธิ 7,650 MB ได้ตามเป้าหมาย กำไรรวมเพิ่มขึ้น 50% มีหุ้นทุน 6,000 หุ้น EPS = 1.275 per share P/E 16 price = 20.4
ปี 56 มีกำไรสุทธิ 9,563 MB กำไรเพิ่ม 25% มีหุ้นทุน 6,000 หุ้น EPS = 1.59 per share P/E 25 price = 39.75
กรณีแบบนี้จะเห็นว่ากำไรก้าวกระโดดจาก 4,500 เป็น 7,650 และ 9,563 แค่ EPS จาก 1.5 เป็น 1.275 และ 1.59 ตามลำดับ ถ้าดูจากกำไรสุทธิอาจเพิ่ม 50% และ 25% แต่ถ้าดูจาก EPS จะเติบโต -85% และ 25%
case แบบนี้เห็นใน web VI หลายที่เขียนกัน ต้องระวังครับใช้ได้ถ้าไม่มีการเพิ่มทุน
ที่มา https://www.facebook.com/sanpong.limthamrongkul/posts/10200740322128854